การจัดตั้งรัฐบาล ยังไม่มีความคืบหน้า ติดปัญหาหลายประการ ทั้งปัญหาการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ ว่า การเสนอให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเห็นชอบให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เป็นการยื่น “ญัตติซ้ำ” หรือไม่ทำให้ต้องรอเวลา
สำคัญยิ่งกว่าคือ พรรคก้าวไกล แม้รู้ว่าตัวเองเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แล้วไปต่อไม่ได้ เพราะพรรคการเมืองนอก “พรรคร่วม 8 พรรค” ไม่ยกมือสนับสนุน และเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว.ก็ไม่เพียงพอ
การ “ส่งไม้ต่อ” ให้ “พรรคเพื่อไทย” จัดตั้งรัฐบาล ก็มีปัญหาอีกว่า พรรคอื่นๆ ที่ไปพูดคุยเจรจาไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนากล้า ล้วนแถลงและแสดงท่าทีตรงกันว่า“ไม่เอาพรรคที่คิดจะยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112” ซึ่งก็คือ “พรรคก้าวไกล” นั่นเอง แปลว่า หากต้องการเสียงสนับสนุน พรรคเพื่อไทยต้องเขี่ยพรรคก้าวไกลออกไปก่อน
ในขณะที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิสรณ์ จากพรรคก้าวไกล ส่งสัญญาณชัดเจนว่าไม่ไป เมื่อหน้าด้านมา ก็จะหน้าด้านกว่า (ฮา...)
1) มีข่าวดีลลับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ บินพบ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ฮ่องกง
เช้าวันที่ 27 ก.ค. 2566 รายการเจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์ ทางช่อง 9 ได้นำข้อมูลชุดหนึ่งมานำเสนอว่า ธนาธรไปฮ่องกง 24 ก.ค.ด้วยเที่ยวบินไฟลท์
CX700 BKK-HKG และกลับเมืองไทย 25 ก.ค. เที่ยวบินไฟลท์ HX733 HKG-BKK
ไม่มีใครมีหลักฐานมายืนยันว่า ธนาธรไปพบทักษิณจริงหรือไม่ แต่มีเรื่องเล่าว่าทั้งคู่พบกันจริง ธนาธร จะยอมถอยเป็นฝ่ายค้าน ด้วยการฉีกเอ็มโอยูของ8 พรรคจัดตั้งรัฐบาลเดิม พร้อมแลกเงื่อนไขให้สองพรรคสองลุงเป็นฝ่ายค้าน
ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ปฏิเสธว่า ข่าวนี้ไม่น่าจะเป็นความจริง ทั้งสองคนนี้ไม่ได้เจอกัน
รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่โพสต์เฟซบุ๊กยืนยันว่า พรรคก้าวไกลจะอยู่ร่วมกับ 8 พรรคร่วมเพื่อจัดตั้งรัฐบาลต่อไป
1.มีลุงไม่มีเรา ไม่ดึงพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติเข้ามาเป็นรัฐบาล
2.พรรคก้าวไกล จะเดินหน้านโยบายแก้มาตรา 112ต่อไป
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร โพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ ตอบปมดีลลับ-ข่าวลือ ระบุว่า ขอตอบตรงนี้นะครับว่า ดีลลับ ข่าวลือ ผมไม่สนใจเลย เมื่อทำงานกันเป็นทีม ผมจะเชื่อใจไม่หวั่นไหว ต่อให้สุดท้ายผมจะถูกหลอก ถูกหักหลัง ถูกมองว่าโง่ จนถูกชิงทุกสิ่งทุกอย่างไป แต่สิ่งที่จะชิงจากผมไปไม่ได้เลย คือ ความซื่อตรง และเกียรติภูมิ เดินไปไหนก็เดินคอตั้งหลังตรง กล้าสู้หน้าทุกคน
ถ้าสุดท้ายภารกิจมันต้องล้มเหลว เพราะถูกหักหลังจริงๆ มันก็ยังดีกว่าการที่มันล้มเหลว เพราะความไม่เชื่อใจกันเองภายในทีม การล้มเหลวเพราะถูกหักหลัง คนที่ทรยศ วันข้างหน้ามีแต่จะด่าวดิ้นสิ้นอนาคต ส่วนคนที่ซื่อตรง ยังไงก็จะมีมือของผู้คนช่วยดึง ช่วยพยุง ให้ลุกขึ้นสู้ต่อ อย่างองอาจ
“ผมเชื่อมั่นในทีมมาโดยตลอด เวลามองตาเพื่อน แววตาผมยังแน่วแน่ เชื่อใจกันอยู่เสมอครับ” นายวิโรจน์ ระบุ
2) นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์และหัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนากฎหมาย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์ข้อความในเพจ “ศูนย์วิจัยฯ มหาวิทยาลัยหน้าบางแห่งหนึ่ง” มีรายละเอียดระบุว่า ธนาธร ต้องตอบคำถามกรณีซูเปอร์ดีล
ในฐานะที่เป็น “โหวตเตอร์” คนหนึ่ง กรณีเกิดคำถามว่าคุณธนาธร ไปร่วมเจรจาซูเปอร์ดีลหรือไม่ เป็นคำถามที่ต้องให้คำตอบอย่างชัดเจน เพราะการนิ่งเงียบหรือหลบหลีกไม่ตอบคำถามนี้จะสั่นคลอนต่อความเชื่อมั่นในแนวทางของพรรค/นักการเมืองที่ผู้คนคิดว่าจะแตกต่างจากพรรคการเมืองดั้งเดิม
ในฐานะพลเมือง ผมคาดหวังจะเห็นการทำงานการเมืองที่ตรงไปตรงมา ไม่ใช่การ “เล่นการเมือง” ที่ใช้การเจรจาแบบลับๆ นอกจากสายตาของสาธารณะ หากพรรคก้าวไกลจะไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล, คุณพิธา ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี, ข้อเสนอ 112 ต้องตกไป ฯลฯ ก็ต้องทำให้เห็นว่าเป็นผลมาจากพลังอำนาจของฝ่ายอนุรักษนิยม
และรัฐธรรมนูญที่วิปริต หากจะมีดีลลับระหว่างพรรคการเมืองอื่นๆ นั่นก็เป็นแนวทางที่ไม่ควรต้องเข้าไปแปดเปื้อนด้วย
ถ้าไม่ได้ไป ก็ต้องปฏิเสธให้ชัดเจนเพื่อให้ผู้คนมั่นใจว่าแนวทางการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยยังคงเดินไปอย่างโปร่งใส ถ้าไปจริง ก็ต้องอธิบายว่าอะไรคือเหตุผล อะไรคือเป้าหมายของการเจรจา แน่นอนถ้าเห็นว่าเป็นจังหวะก้าวที่ผิดพลาดก็ควรต้องยอมรับและเป็นบทเรียนต่อไปในภายภาคหน้า
3) ปฏิกิริยา “เสื้อแดง” กับแนวคิด “เพื่อไทยดีลตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว”
นางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตรักษาการประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า คนเสื้อแดงที่เป็นเพียง FC พรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะทำอะไร หรือมีแนวทางอย่างไร ก็จะให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู
คำถามคือ “คนเสื้อแดง” จะมีปฏิกิริยาอย่างไร? และคิดอย่างไร? ถ้าพรรคเพื่อไทยในฐานะผู้จัดตั้งรัฐบาล “ข้ามขั้ว” ไปจับมือกับพรรคพลังประชารัฐและพรรค
รวมไทยสร้างชาติ
เพราะ “คนเสื้อแดง” เกิดขึ้นมาจากการต่อต้านรัฐประหาร ต่อต้านผลพวงการทำรัฐประหารในปี 2549 คือ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ในเวลานั้นคน Vote No รัฐธรรมนูญ 2550 มี 10 ล้านคน คนเสื้อแดงจริง จะยืนอยู่กับหลักการในระบอบประชาธิปไตย ที่อำนาจเป็นของประชาชน และไม่สนับสนุนผลพวงการทำรัฐประหาร ไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจรัฐประหาร
แต่ก็มี “คนเสื้อแดง” จำนวนมากเป็น FC พรรคเพื่อไทยมายาวนานควบคู่กับการต่อสู้ตามหลักการประชาธิปไตย และก็มีคนใส่เสื้อแดงที่ไม่เคยผ่านการต่อสู้ใดๆ เพิ่งมาเป็น FC พรรคเพื่อไทยเท่านั้น
ปัจจุบันมีทางเลือกพรรคฝ่ายประชาธิปไตยอื่น คือพรรคอนาคตใหม่ ที่ต่อมาคือ พรรคก้าวไกล โดยคนเสื้อแดงยึดฝ่ายประชาธิปไตยเป็นหลัก แต่เปลี่ยนพรรคการเมืองที่สนับสนุนก็มีเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น คนเสื้อแดงจริงก็จะยึดหลักการฝ่ายประชาธิปไตยเป็นสำคัญ เพราะต่อสู้มายาวนาน และเจ็บปวดกับการสูญเสียและการถูกกระทำ ต้องการให้ประเทศเป็นระบอบประชาธิปไตยจริง ที่อำนาจเป็นของประชาชน
ทั้งนี้ สว. 250 คน และปฏิบัติการขององค์กรอิสระและอื่นๆ ที่จัดการกับผู้แทนราษฎร ขัดขวางอำนาจประชาชน คือปฏิปักษ์ของฝ่ายประชาธิปไตยจริง!
นี่เป็นความชอบธรรมของผู้ออกมาต่อต้านสว.และองค์กรอิสระ ซึ่งต่อไปอาจมีเหตุการณ์เลยเถิดจนมีการยุบพรรค ลงโทษพรรคการเมือง/นักการเมือง อย่างไม่สมเหตุสมผลอีก
นี่จึงไม่ใช่เรื่องการทะเลาะ ติ่งส้ม/ติ่งแดง เพราะปฏิปักษ์ตัวจริงในขณะนี้คือสว. 250 คน แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยพลิกขั้ว ก็แปลว่าพรรคเพื่อไทยกลายเป็นพรรคสนับสนุนการสืบทอดอำนาจคสช. คนเสื้อแดงที่ยึดหลักการฝ่ายประชาธิปไตยคงต้องยอมรับภาวะเพื่อไทยในฐานะพรรคการเมืองย้ายขั้วตรงข้ามไปแล้ว คงโบกมืออำลาและอาจแสดงความไม่พอใจเพียงใดยังคาดเดาไม่ได้
แต่ถ้าไม่ถึงขนาดนั้น ยังจับขั้ว 8 พรรคเดิม แล้วเพิ่มเติมบางพรรคเข้ามา ก็น่าจะเป็นวิถีทางที่ “คนเสื้อแดงอุดมการณ์” ยอมรับได้
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย โพสต์แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กว่า
“...มีคนพูดว่า ต้องถามณัฐวุฒิ ให้ชัดว่ามีหรือไม่มีลุง
ที่นิ่งเพราะรู้เห็นว่าเพื่อไทย ก้าวไกล เขาคุยกันอยู่ เลยเฝ้าดู หวังว่าจะหาทางออกร่วมกันได้
ผมเป็นแม่ทัพคนหนึ่งบนเวทีหาเสียง พูดไว้ทุกเวทีชัดเจนไม่ต้องหมุนเสา
“ไม่เอาลุง”
วันนั้นแบบนี้ วันนี้ก็เช่นนั้นครับ...”
นายสมบัติ ทองย้อย อดีตหัวหน้าการ์ดเสื้อแดงได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า คนเสื้อแดง ในภาคส่วนไหนจะไปไหนอะไรยังไงเคารพสิทธิ์ ซึ่งกันและกัน สำหรับผม ผมวางเสื้อแดงไว้ที่บ้านก็ได้ ไม่ต้องใส่โชว์ใครว่ากูเสื้อแดง
ถ้าเลือกตอนนี้ ตอนนี้เลยนะ อยากทำมาหากิน ให้คล่องตัวกว่านี้ รายได้กับรายจ่าย ให้พอที่เราจะสู้ไหว ไม่ต้องถึงกับร่ำรวย และในตอนนี้ ผมเห็นพรรคเดียวจริงๆ ที่พอจะมีศักยภาพ ที่จะทำให้คนไทยส่วนมากรวมทั้งตัวผม ได้กินดีอยู่ดีขี้นกว่าตอนนี้
ใครจะไปไหน เชิญครับ ผมจะอยู่กับเพื่อไทยจนสูญพันธุ์ ให้ถึงวันที่ไม่มีใครเลือกเลย ผมก็ยังจะเลือกและยังจะอยู่ที่เดิม 4 ปีต่อแต่นี้ไป จะเป็นบทพิสูจน์ ว่าเพื่อไทย หัวใจคือประชาชนจริงไหม เรามาคอยดูกันผมเชื่อมั่น และเชื่อใจเพื่อไทย ตลอดมาและตลอดไป
4) ดีลลับ “พระแม่ธรณีบีบมวยผม”
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงกรณีที่มีข่าวสะพัดก่อนหน้านี้ว่า นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา และรักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ภาคใต้ เดินทางไปฮ่องกงเพื่อพบนายทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกง นั้น มีรายงานข่าวว่าการเจรจาไม่ลงตัวเนื่องจากมีการแจ้งว่า มี สส.เพียง 16 คนไม่ได้มาทั้งหมด เนื่องจากกลุ่มนายชวน หลีกภัยและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่สนับสนุนให้เข้าร่วมรัฐบาล ดังนั้น แกนนำพรรคเพื่อไทย จึงให้กลับไปหาข้อยุติในพรรคประชาธิปัตย์ หากจะมาต้องครบทั้ง 25 คนและมีมติพรรครับรอง นอกจากนี้ ยังมีการยื่นข้อเสนอขอให้พรรคประชาธิปัตย์ได้มีบทบาทคุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่ยังไม่มีข้อสรุปเนื่องจากทางพรรคเพื่อไทย
มีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ต้องการจะเข้ามาคุมกระทรวงเกษตรฯ เช่นกัน
นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวนายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางไปฮ่องกงพบกับนายทักษิณ ชินวัตร เพื่อเจรจาถึงการร่วมรัฐบาลของประชาธิปัตย์ว่า ในเรื่องนี้ตนยืนยันได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยส่งใครไปเจรจากับนายทักษิณ เพราะตามหลักการของพรรคโดยเฉพาะเรื่องการร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาล ไม่ได้เป็นอำนาจการตัดสินใจของใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะการร่วมรัฐบาลถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่จะต้องมีการปรึกษาหารือกันในพรรคอย่างละเอียดรอบคอบ
“อีกทั้งพรรคมีข้อบังคับที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อมีประเด็นการที่จะร่วมรัฐบาลหรือไม่ จะต้องมีการประชุมร่วมกันระหว่างกรรมการบริหารพรรค และ สส. ของ
พรรคชุดปัจจุบันที่จะต้องร่วมกันพิจารณา แล้วจึงจะมีมติพรรคออกมาว่าจะเป็นไปในทิศทางใด” นายราเมศ กล่าว
5) ดีลลับ “ทักษิณ” กลับบ้าน
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ที่กำลังออกมาแฉเบื้องหลังซูเปอร์ดีลฮ่องกง และสูตรการจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้เงื่อนไขการเดินทางประเทศไทยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนักโทษหนีคดีในวันที่ 10 ส.ค.นี้ ได้โพสต์ล่าสุดแบบช็อกวงการเมืองไทยระบุว่า “เกมพลิก ทักษิณถอย ยกเลิกกลับไทย สถานการณ์เปลี่ยน” พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า “สัญญาณอันตราย เกินคาดเดา”
จบข่าว “ดีลลับ” ทั้งหลาย แต่เพียงเท่านี้!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี