“ด้อม” เป็นการย่อคำว่า “แฟนด้อม” ซึ่งเป็นการยืมคำในแวดวงศิลปินกับแฟนคลับ มาใช้กับการติดตามนักการเมืองที่กองเชียร์ “คลั่งไคล้” เป็นการรวมคำสองคำ คือ แฟนคลับ + คิงด้อม
ในพื้นที่การเมือง มีเฉพาะผู้ติดตาม “พรรคก้าวไกล” เท่านั้น ที่ใช้คำนี้ ซึ่งขณะนี้ พฤติกรรมต่ำทรามของ “ด้อมส้ม” กำลังถูกสังคมวิจารณ์อย่างหนัก ขณะที่พรรคก้าวไกล “หุบปากเงียบ”
เมื่อเย็นวันที่ 7 ส.ค.2566 บริเวณหน้าที่ทำการพรรคเพื่อไทย ภายหลังการแถลงข่าวการจับมือร่วมจัดตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย ได้มี“กลุ่มทะลุวัง” นำโดย น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง เดินทางไปคัดค้านการจับมือตั้งรัฐบาลของ 2 พรรค และขัดขวางแกนนำพรรคภูมิใจไทย ไม่ให้เดินทางออกจากที่ทำการพรรคเพื่อไทย โดยปิดทางเข้า-ออก ยืนขวางหน้ารถ และตะโกนด่าทอทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยด้วยถ้อยคำหยาบคายตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีการจุดพลุแฟลร์ที่เป็นควันสีต่างๆ โยนใส่ขบวนรถของแกนนำพรรคภูมิใจไทยอย่างต่อเนื่อง
จากเหตุการณ์ดังกล่าว มีผู้สื่อข่าวคนหนึ่งถูกพลุแฟลร์เข้าที่ตา จึงเกิดความโมโห และเดินเข้าไปหากลุ่มทะลุวัง แต่สมาชิกกลุ่มทะลุวังรายหนึ่งที่ใส่เสื้อยืดสีดำมีรูปชูนิ้วกลางและตัวอักษร ค.ควาย อยู่กลางอก ได้ตอบโต้ด้วยคำหยาบคายว่า “ค..ยอะไรของมึงนักหนาวะ มึงจะเอาอะไรกับกูนักหนา กูปาใส่นักข่าวตรงไหน” ทำให้นักข่าวคนดังกล่าวยิ่งเกิดความโมโห จนเกือบจะมีเรื่องชกต่อยกัน แต่ทีมงาน รปภ.ได้มากันนักข่าวคนดังกล่าวออกไปก่อน
ต่อมารถของ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะเดินทางออกจากที่ทำการพรรคเพื่อไทย แต่ปรากฏว่า น.ส.เนติพร หรือ บุ้ง ยืนดักอยู่บริเวณหน้ารถ ทำให้รถของนายพิพัฒน์ไม่สามารถออกไปได้ ซึ่ง น.ส.เนติพร พูดผ่านโทรโข่ง ว่า “รบกวนให้ลดกระจกลงหน่อย อยากรู้ว่ามีฆาตกรอยู่ในรถหรือไม่” ทำให้นายพิพัฒน์เดินลงมาจากรถแล้วพูดกับ น.ส.เนติพร ว่า “หลบ รถจะออก”
น.ส.เนติพร จึงสอบถามว่า “มาจากพรรคอะไรใช่พรรคภูมิใจไทยมั้ย” นายพิพัฒน์ จึงตอบว่า“พรรคภูมิใจไทย” ทำให้น.ส.เนติพร ตะโกนผ่านโทรโข่งว่า “ภูมิใจไทยอยู่ตรงนี้” จากนั้น นายพิพัฒน์ บอกกับ น.ส.เนติพร ว่า “อย่าขัดขวางการเดินทาง” โดย น.ส.เนติพร กล่าวว่า “วันนี้มีปัญหา เพราะไอ้หนูคือฆาตกร ที่กำลังจะมาจับมือกับพรรคเพื่อไทย ไม่ทราบเลยหรือว่าประชาชนตายจากโควิดไปกี่คน” นายพิพัฒน์
จึงกล่าวว่า “ให้ใช้ภาษาให้ดีๆ” จากนั้นจึงเกิดการโต้เถียงกันด้วยถ้อยคำรุนแรง และมีการจุดพลุแฟลร์ โยนไปที่บริเวณท้ายรถของนายพิพัฒน์ ทำให้นายพิพัฒน์เดินกลับขึ้นรถไป โดยขบวนรถได้ถอยกลับมาตั้งหลักใต้ตึกที่ทำการของพรรคเพื่อไทย
จากนั้น นายพิพัฒน์ ให้สัมภาษณ์ระหว่างที่ยังไม่สามารถเดินทางออกจากพรรคเพื่อไทยได้ ว่า ตนลงจากรถเพื่อไปเจรจา ไปขอดีๆ ไม่ได้ลงไปทะเลาะอะไรกับกลุ่มผู้ชุมนุม เพราะเราก็แก่แล้ว เขาก็คนวัยรุ่น ยืนยัน เหตุการณ์ที่มากดดันแบบนี้ไม่กระทบต่อการจัดตั้งรัฐบาล เพราะเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องเดินหน้า ไม่เช่นนั้น เศรษฐกิจก็เดินต่อไม่ได้
วันต่อมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีกลุ่มทะลุวัง ขัดขวางการแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย อีกทั้งขัดขวางการเดินทางออกจากพรรคเพื่อไทยด้วยว่า
“ไม่ควรกระทำ ไม่พอใจอะไรกันก็ต้องพูดคุยด้วยเหตุและผล การใช้ถ้อยคำหยาบคายและไม่เหมาะสมกับผู้ที่อาวุโสกว่า ถือว่าขัดกับระบบประเพณีที่ดีงามของไทย ซึ่งสิ่งดีๆ เหล่านี้เราต้องรักษาไว้ เพราะเมืองไทยมีความเข้มแข็งอยู่ได้ถึงทุกวันนี้ เพราะเรามีวินัยดี และการเคารพผู้ใหญ่ก็เป็นเอกลักษณ์ของเรา ถือเป็นซอฟต์ พาวเวอร์
“เห็นหรือไม่ สำนวนสุภาษิต น้ำร้อนปลาเป็นน้ำเย็นปลาตาย ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ก็ต้องคุยกันดีๆ ซึ่งทุกคนมีอารมณ์ได้หมด อยู่ที่ว่าใครข่มอารมณ์ได้มากกว่ากัน” นายอนุทิน กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะดำเนินคดีทางกฎหมายกับกลุ่มผู้ชุมนุมหรือไม่ เพราะมีการพลุสี และมีพฤติกรรมไล่ล่า
โดยเฉพาะที่ทำกับนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะรองหัวหน้าพรรค ภท. นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ก็อย่าทำให้เกินกฎหมาย ตนอยากจะฝาก
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา ตํารวจยืนเฉยเลย เวลามีการคุกคามอะไรแบบนี้ คงไม่ต้องรอไปแจ้งความ เพราะเขาบอกว่ายังไม่มีคนไปแจ้งความ เป็นไปไม่ได้ เพราะเราออกไม่ได้จะไปแจ้งความยังไง และเราก็ไม่ต้องการไปแจ้งความ แต่เราต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาความสงบ ไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้น
เมื่อถามว่า ต้องกําชับไปยังพรรคก้าวไกล หรือไม่ เพราถูกมองว่าเป็นแนวร่วม นายอนุทิน กล่าวว่า ตนคิดว่าพรรคการเมืองคงไม่ต้องการให้ภาพเหล่านี้เกิดขึ้น ยิ่งถ้าบอกว่าเป็นแนวร่วม ก็ยิ่งจะทำให้เกิดการเข้าใจผิด ตนไม่อยากคิดไปถึงตรงนั้น แต่มองว่าทุกคนมีสิทธิที่จะแสดงออกในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่ก็ต้องดูที่เหตุและผล รวมถึงขอบเขตของกฎหมาย
แต่ ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร กลับต้องการให้พรรคก้าวไกลรับผิดชอบ หมือนอีกหลายๆ คนที่ก็เรียกร้องเรื่องนี้ โดยได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า ด้อมออกมาก่อความวุ่นวายด้วยความรุนแรง ก้าวร้าว ถ่อยเถื่อน ทำผิดกฎหมาย ด้วยการทำร้าย ทำลาย จาบจ้วงล่วงละเมิด ไม่เคยห้ามปราม
“ในทางตรงกันข้าม กลับมีพฤติกรรมสนับสนุนหลายรูปแบบ ที่เห็นชัดคือ การกล่าวชมเชยว่าเด็กๆ มีความกล้าหาญ มีความเป็นประชาธิปไตย ช่วยเด็กแก้ตัวว่าที่ทำนั้นไม่ผิด เป็นการใช้สิทธิ์เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ทั้งๆที่เด็กทำผิดกฎหมายหลายมาตราอย่างชัดเจน เอาเรื่องการให้ท้ายเด็กเป็นส่วนหนึ่งของคำปราศรัย เพื่อเรียกหาการสนับสนุนจากเด็กที่ขาดวุฒิภาวะ หลงใหลคำชมที่กระตุ้นการทำเลว เมื่อเด็กๆ โดนคดี ก็จะมี สส. ของพรรคไปประกันตัว ทั้งหมดนี้เป็นการสนับสนุนด้อมของพรรคที่ก้าวร้าว ต่ำทราม ถ่อยสถุล ที่สังคมมองเห็นอย่างชัดเจนว่าม็อบกับพรรคเกี่ยวกันอย่างไร
“แต่ก็มีคนจำนวนมากเชื่อว่าน่าจะอยู่เบื้องหลังด้วย ทั้งการวางแผนให้ การกำกับการแสดง การเขียน script ในการแสดงให้ และหลายคนก็อดคิดไม่ได้ว่าใครเป็นท่อน้ำเลี้ยง เพราะการทำกิจกรรมแต่ละครั้งจะต้องใช้เงินไม่น้อย เด็กๆ จะเอาเงินมาจากไหน
“แกนนำพรรค หัวหน้าพรรค ไม่เคยแสดงภาวะผู้นำในการห้ามปรามด้อมให้หยุดการกระทำที่ผิดกฎหมาย รุนแรง ต่ำช้า หรือจริงๆ แล้ว ที่เด็กๆ ทำอยู่ทุกวันนี้เป็นสิ่งที่พรรคต้องการ
“นี่คือ DNA ของพรรคสินะ อย่าสะเออะมาบอกว่าเป็นจิตวิญญาณเดียวกับจิตวิญญาณของธรรมศาสตร์เพราะคนธรรมศาสตร์ไม่ทำอะไรที่ต่ำแบบนี้
“ถ้าจะมีคนธรรมศาสตร์เป็นแนวร่วมกับพรรคนี้ก็ถือว่าเป็นคนผ่าเหล่าที่ถูกครอบงำโดยวาทกรรมของแกนนำและศาสดาผู้นำวิญญาณของพรรคนี้” ดร.เสรีกล่าว
ขณะที่ นายสุนัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติ ฮิวแมนไรท์วอทช์(Human Rights
Watch) ประจำประเทศไทย ได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์@sunaibkk ว่า “#ทะลุวัง อ้างจัดกิจกรรมวันนี้เพื่อประท้วง #เพื่อไทย และ #ภูมิใจไทย แต่กลายเป็นแสดงพฤติกรรมคุกคามคนเห็นต่าง และใช้ความรุนแรง ล้ำเส้นการใช้เสรีภาพแสดงออกอย่างสันติ”
ต่อมา นายสุนัยได้ทวีตอีกว่า “ควรขอโทษ และรับปากว่าจะไม่ทำอีก … พฤติกรรมรุนแรงของ #ทะลุวัง ที่ไปประท้วงการจับมือระหว่าง #เพื่อไทย กับ #ภูมิใจไทย ล้ำเส้นการแสดงออกอย่างสันติ ไม่ใช่แค่ทำให้เสียแนวร่วมและการยอมรับจากสังคมในประเทศ แต่ยังเสียความคุ้มครองภายใต้กติกาสากลที่เคยได้รับในฐานะนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งที่ผ่านมาเป็นปัจจัยสำคัญช่วยคุ้มครองเวลาถูกรัฐเล่นงานด้วยมาตรการต่างๆ”
นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ทวีตข้อความ Dr.Adisorn Piengkes @slide2495p ระบุว่า เกะกะระรานพรรคอื่น หวานอมขมกลืนขยะแขยง ตบจูบลูบไล้ทิ่มแทง เหิมเกริมกำแหงฟันน้ำนม
มีผู้พยายามอ้างถึง ข้อมูลที่กรมสุขภาพจิตกระทรวงสาธารณสุข เคยให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาการ“ไซโคพาธ” เป็นหนึ่งในกลุ่มของโรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม (Antisocial Personality Disorder) โดยมีลักษณะ ขาดความเห็นใจผู้อื่น ขาดความสำนึกผิด ความรู้สึกด้านชาไม่เกรงกลัว ขาดความยับยั้งชั่งใจ เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง
สาเหตุเกิดจาก ด้านทางกาย ด้วยมีความผิดปกติของสมอง โดยเฉพาะสมองส่วนหน้า-ส่วนอะมิกดะลา
ความผิดปกติของสารเคมีในสมอง หรืออุบัติเหตุทางสมอง และพันธุกรรม ด้านจิตใจและสังคม ด้วยถูกกระทำทารุณในวัยเด็ก ถูกเลี้ยงดูแบบละเลยเพิกเฉย อาชญากรรมในครอบครัว ความแตกแยกในครอบครัว หรือแม้กระทั่งสภาพสังคมรอบตัวที่โหดร้าย
อาการแสดงของโรคนี้ จะมีลักษณะจิตใจที่แข็งกระด้าง มีพฤติกรรมตอบสนองต่อความต้องการของตนเอง โดยไม่สนใจผู้อื่นในสังคม มีความผิด
ปกติทางอารมณ์ และความคิด โดยเฉพาะเมื่อต้องเข้าสังคม มักกระทำความรุนแรงซ้ำๆ และก่อให้เกิดอาชญากรรม
คนที่ได้อ่านก็บอกว่า “เออ เป็นไปได้”
แต่หลายคนก็แย้งว่า “ไม่ใช่หรอก เป็นสันดานของมัน ก็แค่นั้นเอง”
จะด้วยสันดานหรืออาการเจ็บป่วยก็ตาม นี่คือเชื้อแห่งความฉิบหายของบ้านเมืองเรา ที่“พรรคการเมืองหนึ่ง” เพาะขึ้นเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี