ก่อนอื่นบอกตรงๆ ว่าประเทศไทยไม่มีเงินงบประมาณมากมายมหาศาลเหลือเฟือพอที่จะนำไปหว่านให้กับใครต่อใครได้แบบไม่ต้องยั่งไม่ต้องคิดดังนั้น ใครก็ตามที่คิดว่ารัฐบาลมีเงินมากมายและสามารถแจกเงินให้กับใครต่อใครได้ตลอดเวลา ก็ต้องบอกว่าคิดผิด เพราะจริงๆ แล้วรัฐบาลไทยไม่มีรายได้เพียงพอกับการพัฒนาประเทศมานานแล้ว
ส่วนการที่รัฐบาลต้องแจกเงินให้ประชาชนไทยกลุ่มผู้สูงอายุ โดยแจกเงินเป็นรายเดือนตามลำดับขั้นบันไดโดยพิจารณาจากช่วงชั้นของอายุ ก็เป็นสิ่งที่พอจะเข้าใจได้ว่า สำหรับบางคนแล้วจำเป็นต้องได้รับเงินแจกรายเดือน แต่สำหรับบางคนไม่จำเป็นต้องได้รับเงินแจกจากรัฐบาล เพราะเขามีรายได้ล้นเหลือ เหลือเฟือ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องได้รับเงินแจกอีกต่อไป
แต่หากจะอ้างว่า รัฐบาลจำเป็นต้องแจกเงินให้กับคนสูงอายุอย่างเท่าเทียมกัน ก็เป็นเรื่องที่พอจะฟังได้อยู่บ้าง แต่ก็ต้องย้ำว่าลึกๆ แล้วไม่จำเป็นต้องแจกจ่ายเงินเดือนให้กับคนสูงอายุที่มีสถานะทางเศรษฐกิจดีแล้วก็ไม่ต้องอ้างเรื่องความเท่าเทียมในการแจกเงิน เพราะการแจกเงินที่ว่านั้น มีเป้าประสงค์หลักอยู่ที่การช่วยเหลือหรือสงเคราะห์คนยากคนจนที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจริงๆ ไม่ใช่หว่านแจกไปไม่เลือกหน้า
เวลาเราพิจารณาเงินรายเดือนที่รัฐบาลจ่ายให้กับผู้สูงอายุ โดยเริ่มจาก 600 บาทต่อเดือนไปจนถึง1 พันบาทต่อเดือน ซึ่งหากคิดในแง่รายจ่ายของรัฐที่ต้องจ่ายให้ในส่วนนี้ก็คิดเป็นเงินปีละประมาณ 8-9 หมื่นล้านบาท สำหรับผู้สูงอายุ 11 ล้านคน ถามว่าตัวเลขนี้มากมายหรือไม่ ก็ต้องถามกลับว่าเทียบตัวเลขนี้กับงบประมาณด้านใด หากเทียบกับงบประมาณที่ต้องจ่ายให้ข้าราชการที่มีไม่ถึง 1 ล้านคน แต่ใช้เงินประมาณ 3.2 แสนล้านบาท ก็ต้องบอกว่างบประมาณที่รัฐจ่ายให้คนชรานั้นถือว่าเล็กน้อยมาก
แต่หากนำยอดเงินที่จ่ายให้คนชราไปเทียบกับค่าอาหารกลางวันของ สส. ก็จะต้องบอกว่า เงินค่าอาหารกลางวันของ สส. สูงกว่าเงินที่คนชราได้หลายเท่า
คนที่ติดตามเรื่องค่าอาหารกลางวันของ สส. ย่อมทราบดีว่า สส. ได้ค่าอาหารกลางวันหัวละ 861 บาทพูดง่ายๆ คือ สส. กินอาหารกลางวันมื้อเดียวปาเข้าไปหัวละเกือบ 9 ร้อยบาท จนทำให้สาธารณชนตั้งคำถามว่า สส. กินช้าง กินม้าหรืออย่างไร ทำไมอาหารมื้อเดียวจึงมีราคาเกือบพันบาท แต่เวลาจ่ายเงินให้กับคนชรากลับจ่ายให้เดือนละ 600 บาท ถึง 1 พันบาท ย้ำว่านี่คือเงินที่ สส. กินข้าวมื้อเดียวกับเงินที่จ่ายให้คนชราทั้งเดือน
ถามว่า สส. ไม่ละอายใจบ้างหรือที่กินข้าวมื้อละเกือบพันบาท แล้วที่สำคัญคือเงินที่ใช้ซื้อข้าวให้ สส. กินนั้นมันคือเงินหลวง ย้ำว่ามันคือเงินหลวง
ประเทศไทยมี สส. ในสภา 500 คน (ยังไม่นับรวม สว. อีก 250 คน) ลองเอาเงินค่าอาหารกลางวันที่ สส. กินต่อคนต่อหัวแล้วคูณด้วย 500 บาท ก็ตกมื้อหนึ่งเกือบๆ 5 แสนบาท ย้ำว่านี่เป็นเพียงค่าอาหารกลางวันของ สส. เพียงวันเดียวเท่านั้น หากปีหนึ่งประชุมสภากี่วัน ก็เอาจำนวนวันประชุมคูณ 5 แสนบาท (โดยประมาณ) ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า สส. กินอาหารกลางวันในหนึ่งปีเป็นเงินหลายร้อยล้านบาท จากตัวเลขการอภิปรายในสภาโดยพรรคก้าวไกลเมื่อปี 2565 ระบุว่าประมาณที่ใช้เป็นค่าอาหารกลางวันของ สส. ตกปีละประมาณ 153 ล้านบาท
คนไทยจำนวนไม่น้อยไม่ได้กินข้าวครบสามมื้อต่อวัน เพราะไม่มีเงินซื้ออาหารรับประทาน บางคนกินอาหารมื้อละเพียง 20 บาทเท่านั้น แต่ย้ำว่า สส. ไทยกินข้าวกลางวันมื้อละเกือบ 1 พันบาทต่อหัวต่อคน
ถามอีกทีเถอะว่า ทำไม สส. ไทยจึงมีอภิสิทธิ์มากมายถึงเพียงนั้น สส. ไทยทำประโยชน์ให้ประเทศไทยคุ้มค่าเงินเดือน และเงินสวัสดิการอื่นๆ ที่ได้รับจริงหรือ
สาธารณชนให้ความเห็นว่าน่าจะลดจำนวน สส. ลงอย่างน้อย 1 ใน 3 เนื่องจากการมี สส. มากมายเช่นทุกวันนี้ ก็หาได้เกิดประโยชน์ใดๆ ที่เป็นรูปธรรมต่อสังคมไทยไม่ แต่เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ และเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์เสียมากกว่าด้วยซ้ำ โดยเฉพาะการมี สส. ไร้คุณภาพ ไร้จรรยาบรรณ แล้วหากพูดถึง สส.ที่ชอบแอบอยู่เบื้องหลังการชุมนุมประท้วงทางการเมือง หรือพูดให้ตรงประเด็นคือ สส. ที่ยุแยงให้เด็กๆ และคนอื่นๆ ก่อเหตุประท้วงเป็นประจำ ก็ต้องบอกว่า สส. จำพวกที่ว่านั้นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
เราควรลดจำนวน สส. ลง เพื่อตัดโอกาสไม่ให้คนไร้คุณภาพ ไร้คุณธรรม ไร้จรรยาบรรณเข้าไปเป็น สส. และเพื่อประหยัดงบประมาณแผ่นดินที่เสียให้กับ สส. โดยเปล่าประโยชน์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี