สัปดาห์ที่ผ่านมานี้เห็นจะมีเรื่องครูกายแก้ว ที่อ้างว่าเป็นบรมครูผู้ขมังเวทย์ แล้วปั่นกระแสกันเอิกเกริกจนผู้คนหลงเชื่อในระยะแรกพากันไปกราบไหว้ แต่ไม่ทันไรเมื่อความจริงเปิดเผยก็กลายเป็นเรื่องการตลาดลวงโลกที่อาจก่อให้เกิดอาเพศเหตุร้าย อย่างน้อยก็ความแตกแยกภายในบ้านเมืองและความหลงงมงายที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ตอนแรกก็บอกว่าครูกายแก้วเป็นอสุรเทพซึ่งน่าจะเป็นการพูดโดยสำคัญผิด เพราะคำที่ใช้ในเรื่องนี้อันมีมาแต่โบราณและใช้กันเป็นการทั่วไปคือเทพอสูร ซึ่งครูกายแก้วที่ว่านี้ไม่ใช่เทพอสูร
เพราะเทพอสูรนั้นคือยักษ์ และเป็นยักษ์ที่ประพฤติธรรมจนบรรลุธรรมขั้นพรหม คือเจริญในเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาธรรมสมบูรณ์ จึงเรียกว่าเทพอสูร หมายความว่าหมดสิ้นภาวะอสูรในทางจิตใจ มีฐานะเป็นพรหมบังเกิดขึ้นในใจ ตัวอย่างที่มีมาแต่โบราณคือท้าวลัสเตียนซึ่งเป็นบิดาของทศกัณฐ์ ดั้งเดิมนั้นเป็นยักษ์และบรรลุธรรมขั้นพรหมจึงเรียกว่าเทพอสูร
ธรรมขั้นพรหมที่เทพอสูรลัสเตียนบรรลุถึงนั้นในคัมภีร์ที่มีมาแต่โบราณระบุว่าระดับความเป็นพรหมอยู่ในชั้นเดียวกันกับท้าวกบิลพรหม ซึ่งคนไทยรู้จักกันโดยทั่วไป เพราะท่านเป็นบิดาของนางสงกรานต์ทั้ง 7 องค์ที่เข้าเวรสงกรานต์ในแต่ละปี แต่แม้จะเป็นพรหมก็ยังมีกิเลสคือติดการพนัน และเสียพนันจนต้องเสียหัว อันเป็นที่มาของตำนานสงกรานต์
ครูกายแก้วที่ว่านี้ถูกอ้างว่าเคยเป็นอาจารย์ของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 7 แห่งขอมโบราณ ซึ่งเป็นการยกเมฆกันเอาเอง และเมื่อเรื่องฉาวโฉ่ขึ้นทางเขมรก็ได้ปฏิเสธแล้วว่าพระเจ้าสุริยวรมันที่ 7 ซึ่งเป็นมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ของขอมนั้นท่านมีอาจารย์เพียง 3 องค์ แต่ที่รู้จักกันโดยทั่วไปมีเพียง 2 องค์ คือท่านศรีชยมังคลารถเทวะ กับท่านศรีชยกีรติเทวะ
อาจารย์ของท่านอีกองค์หนึ่งก็เป็นฤๅษีชื่อว่าศรีชยมหาประธาน แต่ชื่อของท่านไม่ได้ถูกจารึกไว้ที่ปราสาทตาธมในเขมร ซึ่งสร้างขึ้นในยุคขอมรุ่งเรือง
ดังนั้นครูกายแก้วที่อวดอ้างกันนั้นจึงไม่ใช่อาจารย์ของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 7 ไม่ว่าโดยหลักฐานที่จารึกไว้และนำมาแอบอ้าง หรือแม้การปฏิเสธอย่างเป็นทางการจากเขมรในปัจจุบันนี้
เป็นเหตุให้ระยะหลังต้องยอมรับเสียงอ่อยๆ ว่าครูกายแก้วที่จริงนั้นคืออสุรกาย
ดังนั้นจึงต้องทำความรู้จักภพภูมิของอสุรกายว่าเป็นอย่างไร ซึ่งจะพรรณนาให้เห็นอย่างละเอียด โดยถือคัมภีร์และตำราโบราณ แม้กระทั่งคัมภีร์ในศาสนาต่างๆ ที่ไปในทางเดียวกันว่าภพภูมิทั้งปวงนั้นมีลำดับชั้นดังนี้
ภูมิที่หนึ่งชื่อว่าอริยภูมิ เป็นภูมิของพระอริยเจ้าที่มีภูมิธรรมตั้งแต่ชั้นพระโสดาบันขึ้นไป
ภูมิที่สองชื่อว่าเทวภูมิ เป็นภูมิของพรหมและเทพทั้งหลาย ซึ่งแม้เป็นภูมิอันสูงแต่ยังไม่สิ้นกิเลสดังตัวอย่างท้าวกบิลพรหม เป็นต้น
ภูมิที่สามเป็นภูมิของเทพชั้นรองที่ต่ำกว่าเทวภูมิ ประกอบด้วยสี่จำพวก คือ ครุฑ นาค คนธรรพ์และยักษ์ ทั้งสี่จำพวกนี้ความจริงก็จัดเป็นระดับเทพแต่ต่ำกว่าเทพในเทวภูมิเพราะมีกิเลสหนากว่า เช่น คนธรรพ์จะมากด้วยกิเลสประเภท ราคะ ยักษ์จะมากด้วยโทสะ ครุฑและนาคไปในทางโมหะ เป็นต้น
ภูมิที่สี่เป็นรุกขภูมิ เป็นภูมิของเทวดาชั้นต่ำหรือเจ้าที่เจ้าทางหรือรุกขเทวดา ซึ่งเป็นภูมิต่ำกว่าภูมิที่สาม
ภูมิที่ห้า คือ เวไนยภูมิ ได้แก่ ภูมิของมนุษย์ของพวกเรานี้ แม้เป็นภูมิของสัตว์แต่ก็เป็นสัตว์ประเภทที่เรียนรู้ได้คือเป็นเวไนยสัตว์ เป็นภูมิที่สามารถบรรลุธรรมขั้นสูงสุดคืออริยภูมิได้ จึงได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ
ภูมิที่หก คือ ภูมิของสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ทั้งที่มีกระดูกสันหลังและไม่มีกระดูกสันหลัง
ภูมิที่เจ็ดเรียกรวมกันว่าอบายภูมิ มีสามชั้น คือ ผี เปรต และอสุรกาย โดยอสุรกายเป็นภูมิต่ำสุด และต่ำยิ่งกว่าเปรต เพราะเปรตนั้นถึงแม้จะถูกลงทัณฑ์อย่างไรแต่ก็เบียดเบียนน้อยกว่าอสุรกายซึ่งถือว่าเป็นพวกตกอยู่ในนรกโลกันต์ที่กระหายเลือดและไม่เหลือธรรมใดๆ อยู่ในใจเลย
ครูกายแก้วที่ว่านี้คืออสุรกาย อยู่ในภพภูมิต่ำสุดของภูมิที่เจ็ด และเพราะเหตุที่ถือเป็นภูมินรกโลกันตร์ มาจากนรกโลกันตร์จึงเหี้ยมอำมหิตและกระหายเลือดไม่มีธรรม มีแต่การทำลายสถานเดียว ที่อ้างว่าสามารถประทานพรหรือให้คุณใดๆ นั้นเป็นเรื่องนึกเอาเองทั้งสิ้น
เพราะเป็นอสุรกายในคติทางพุทธศาสนาทุกนิกายย่อย จึงมิได้สรรเสริญและถือเป็นข้อรังเกียจ บรรดาคำสอนทั้งหลายล้วนสอนให้ไม่ตกอยู่ในอบายภูมิ ไม่ไปเป็นอสุรกาย แม้กระทั่งผีหรือเปรตหรือเป็นสัตว์เดรัจฉาน
เป็นเรื่องที่น่าแปลกว่ารูปร่างหน้าตาของครูกายแก้วนี้เป็นแบบเดียวกันกับพวกซาตานในคติของฝรั่ง ซึ่งพวกกรีกเป็นพวกที่ริเริ่มสร้างสรรค์รูปแบบเหล่านี้ขึ้น และใช้เป็นเครื่องค้ำยันรางน้ำแล้วเรียกว่าการ์กอยล์ซึ่งแปลว่าเครื่องค้ำยันรางน้ำ เป็นแต่ทำรูปแบบต่างๆ กัน โครงสร้างหลักก็เป็นแบบซาตาน มีปีก มีเขี้ยว มีตาดุร้าย มีเล็บซึ่งเป็นลักษณะร่วม ต่างกันที่ใบหน้าเป็นรูปสัตว์ต่างๆ หรือปีศาจ
เรื่องของการ์กอยล์ก็แพร่หลายเข้าไปในหมู่ฝรั่ง แต่ก็ลงตัวกันที่ความเป็นซาตานเหมือนกัน
ดังนั้นครูกายแก้วเป็นใครและเป็นอะไร มีที่มาอย่างไรก็คงจะได้ทราบได้เข้าใจกัน
ในการทำพิธีบวงสรวงนั้น เมื่อได้ตรวจพิเคราะห์ทั้งหมดแล้วก็กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องของการมั่ว เอาบทสรรเสริญพระพุทธคุณ เอาภาษาบาลี ภาษาไทยมาผสมปนเปมั่วกันไปหมด เพียงเพื่อให้เข้าใจว่าสามารถบันดาลลาภและเงินทองได้
ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องแต่งเอาเอง มั่วเอาเอง ผิดหลักภาษาทั้งภาษาไทย บาลี และสันสกฤต ผิดหลักไวยากรณ์ ผิดความหมายชนิดที่เรียกว่าเลอะเทอะที่สุด นั่นเป็นเพราะความไม่รู้หรือความลวงโดยแท้
เราทั้งหลายเป็นชาวพุทธหรือเป็นศาสนิกในศาสนาใดๆ ก็ตาม ย่อมเป็นผู้รู้เท่าทันในความจริง ความลวงทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้รู้ในคุณและโทษ สิ่งใดเป็นโทษก็พึงหลีกเลี่ยง อย่าข้องแวะด้วย
ชาวพุทธในอินเดียสอนกันมาตั้งแต่โบราณว่าเมื่อใดที่เหือดแห้งใจ หวั่นไหวเศร้าโศก เมื่อนั้นจงเปล่งคำว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมังสะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี