“เรากำลังคิดเรื่องห้องเช่าราคาถูกในชุมชน เพราะต่อไปโอกาสในการจะมีบ้านของตัวเองจะลดลงโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ราคาที่ดินสูงราคาที่อยู่อาศัยก็สูง คอนโดฯหลังหนึ่งเป็นล้าน ที่ดินมีน้อยลง เราไม่มีนโยบายการจัดการที่ดินแต่เราให้ที่ดินเป็นไปตามราคาตลาด คนจนเมือง ผู้มีรายได้น้อยระดับล่าง ชนชั้นกลางหมดสิทธิ์ที่จะมีที่อยู่อาศัยของตัวเอง ถึงแม้จะเรียนจบปริญญาตรี ถ้าเงินเดือนเราไม่มากพอเราจะผ่อนไม่ไหว”
วรรณา แก้วชาติ ผู้ประสานงานโครงการมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย (มพศ.) กล่าวถึงปัญหา “ราคาที่อยู่อาศัยสูงขึ้นตามราคาที่ดิน” ทำให้โอกาสในการมีที่อยู่อาศัยไม่ว่าบ้านหรือห้องพักในคอนโดมิเนียมเป็นไปได้ยาก ซึ่งแม้กระทั่งย่านชานเมืองอย่างเขตหนองจอก กรุงเทพฯ มีตัวอย่างที่ดินบริเวณ ถ.สุวินทวงศ์ ในปี 2554 ราคาอยู่ที่ 4 แสนบาทต่อไร่ แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 4 ล้านบาทต่อไร่ นั่นเป็นสาเหตุที่แนวคิดของรัฐเรื่องการย้ายชุมชนแออัดของคนจนเมืองออกจากใจกลางเมืองไปอยู่แถบชานเมืองไม่สามารถทำได้อีกต่อไป
ขณะเดียวกัน ชนชั้นกลางที่ต้องการมีบ้านสักหลังหนึ่งยังต้องกัดฟันแบกรับ “ดอกเบี้ย” ที่เคลื่อนไหวตามกลไกตลาดโดยไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง อีกทั้ง “การต้องผ่านบ้านนาน 20-30 ปี ก็ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าจะอยู่รอดตลอดไปจนถึงฝั่ง” เห็นได้จากวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 เป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น และนั่นทำให้หลายคนต้องปล่อยบ้านที่ผ่อนมาให้หลุดมือไปเพราะไม่มีรายได้เพียงพอจะผ่อนต่อไปได้ อาทิ มีตัวอย่างในหมู่บ้านที่ตนเองอยู่ บ้านหลังหนึ่งคู่สามี-ภรรยา ทำงานสายการบิน ได้รับผลกระทบอย่างหนักจนต้องปล่อยให้บ้านถูกยึด
วรรณา กล่าวถึงเรื่องนี้ในการบรรยายหัวข้อ “การพัฒนาคนจนเมืองและคนในชุมชนแออัด” ที่สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว เล่าต่อถึงแนวคิด “ห้องเช่าราคาถูก” ที่เริ่มทำโครงการนำร่องกับกลุ่ม“คนไร้บ้าน” ในย่านหัวลำโพง กรุงเทพฯ ซึ่งจากการสอบถามพบหลายคนเคยมีงานทำแต่ต้องตกงานจากสถานการณ์โควิด-19 คนเหล่านี้ไม่ได้อยากเป็นคนไร้บ้านแต่ไม่มีทางเลือกเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้องที่เคยอยู่ในช่วงก่อนหน้านั้น
“เขาอยากแค่มีงานสักหน่อย มีห้องเช่าที่พอได้อยู่ แล้วอยู่ใจกลางเมืองเพื่อที่จะเดินทางไปหางานได้ ก็เลยเป็นที่มาของห้องเช่าคนละครึ่ง มูลนิธิก็เริ่มทำงาน โดยการสนับสนุนจาก สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) แล้วส่วนหนึ่งมีสมทบมาจาก พอช. (สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน) เราก็มาทดลองตรงห้องเช่าตรอกสลักหิน หลังหัวลำโพงมันจะมีชุมชน ห้องหนึ่งสมมุติราคา 3,000 ไม่ถูกนะในชุมชน3,000 บาท เจ้าของห้องจะจ่าย 1,600 เราจ่าย 1,600 ในช่วง6 เดือนแรก
เพื่อที่จะช่วยให้เขายังคงทำงานได้ มีเงินผ่อน เก็บเงินส่วนหนึ่งเอาไว้ แต่เราไม่สามารถจ่ายตลอดไปได้เพราะไม่มีใครจะหาเงินมาจ่ายฟรีได้ตลอด ทำไมถึงไม่เป็น 1,500-1,500 เงิน 200 บาท ถูกหักออกมาเป็นกองทุนของเขาเพื่อที่จะไปพัฒนาอาชีพ เผื่อเขาตกงาน เผื่อเขาต้องการเงินก้อนหนึ่งไปทำอาชีพ ก็จะมีเงินตรงกลางเป็นสวัสดิการ เป็นค่ารถไปหาหมอ หลังจากเราทดลองที่หัวลำโพง เราพบความต้องการที่อยู่อาศัยราคาถูกมันเยอะมาก แต่จะมาทำคนละครึ่งก็ไม่ได้ แต่จะทำอย่างไรให้มีที่อยู่อาศัยเป็นห้องเช่าที่มันไม่แพงมาก” วรรณา กล่าว
ตัวอย่างกลุ่มที่จะได้ประโยชน์หากมีการทำโครงการห้องเช่าที่ราคาไม่สูงนัก ได้แก่ 1.คนไร้บ้าน คนกลุ่มนี้หากมีห้องเช่าในราคาที่พอจ่ายได้ ก็จะไม่ต้องเป็นคนไร้บ้าน สามารถทำงานและพัฒนาตนเองได้ 2.ผู้มีรายได้น้อยและไม่มั่นคง ส่วนใหญ่คือคนที่ทำงานโดยรับค่าจ้างรายวัน เช่น พนักงานโรงงาน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 3.แรงงานย้ายถิ่น เช่น คนต่างจังหวัดเพิ่งเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ ต้องการห้องเช่าที่ไม่แพงมากในช่วงเริ่มตั้งตัว
4.สมาชิกโครงการบ้านมั่นคงแต่ไม่มีศักยภาพในการมีบ้าน โครงการ “บ้านมั่นคง” เป็นโครงการที่รัฐสนับสนุนให้ชุมชนคนจนเมืองแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยของตนเอง โดยการเช่าที่ดินของรัฐ เช่น ที่ราชพัสดุ เพื่อก่อสร้างบ้านที่มีโครงสร้างมั่นคงและหน้าตาสวยงามแทนที่จะเป็นบ้านแบบชุมชนแออัด แต่อาจมีชาวชุมชนบางคนไม่มีศักยภาพพอจะสร้างบ้านได้
โดยชุมชนอาจแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งทำเป็นห้องเช่าสำหรับคนเหล่านี้ เพื่อนำรายได้ไปพัฒนาชุมชน รวมถึงผู้ที่กำลังรอการเข้าร่วมโครงการซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการรอ 1-2 ปี และ 5.นักศึกษาจากครัวเรือนยากจน แม้จะสามารถกู้เงินจากกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) แต่ก็อาจยังไม่เพียงพอสำหรับจ่ายค่าหอพัก การมีห้องเช่าราคาประหยัดก็จะช่วยทุ่นค่าใช้จ่ายทั้งของตัวนักศึกษาเองและของพ่อแม่ผู้ปกครองที่เป็นผู้ส่งเสียค่าเล่าเรียนบุตรหลานด้วย
โครงการที่อยู่อาศัยราคาถูกสามารถเกิดได้ 1.องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดย อปท. จะทำหน้าที่ประสานหน่วยงานอื่นๆ เข้ามาร่วมกันพัฒนาโครงการ และอาจมีงบประมาณจาก พอช. เข้ามาสนับสนุน 2.ภาคเอกชน เช่น เอกชนให้พื้นที่หรืออาคารมาใช้แก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย โดยหน่วยงานของรัฐเข้าไปปรับปรุงให้สามารถอยู่อาศัยได้ รูปแบบนี้มีหลากหลายทั้งงานเพิ่มสังคม (CSR) ของเอกชน หรือเป็นการร่วมลงทุนและบริหารระหว่างเอกชนกับรัฐ ผ่านการที่รัฐใช้มาตรการภาษีจูงใจให้เอกชนเข้าร่วม
“ถ้าเป็นของที่เราเริ่มทำจะยังไม่ใช่ทั่วไปเพราะจะไม่สามารถควบคุมหรือมีแนวทางที่ชัดเจน ก็ต้องทดลองแนวทางก่อน แล้วถ้าเป็นไปได้ต่อไปก็จะชวนคนที่เขาสนใจเข้ามา แต่มันก็จะต้องผ่านกระบวนการคุยหรือออกแบบร่วมกันว่าทำอย่างไรที่จะไม่เกิดปัญหาในอนาคต หรือเกิดคนเข้าไปอยู่แล้วระบบบริหารจัดการมันจะเป็นอย่างไร ไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นแบบใครๆ ก็อยากทำ พออยากทำแล้วเราควบคุมอะไรไม่ได้ หรือแนวทางไม่ชัดเจน จะเป็นปัญหาในอนาคต
เราจะทดลองสัก 2-3 รูปแบบก่อน แล้วถ้ามันพอเป็นไปได้อันนี้จะถูกขยายออกไปเป็นนโยบาย ซึ่งทางผู้ว่าฯ ชัชชาติ (ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร-กทม.) เองก็มีแนวคิดอันนี้อยู่ ตอนนี้เขามีสำนักงานที่อยู่อาศัย กทม.ที่จะเข้ามาดูแลเรื่องนี้อยู่ ถ้าเราเข้าไปปรับปรุงต้องเช่าระยะยาว เพราะไม่อย่างนั้นมันจะไม่คุ้มทุนกับการลงทุนในการที่จะเข้าไปปรับปรุง เพราะหลายแห่ง สมมุติตึกหนึ่งต้องไปปรับปรุง 5 ล้านบาท แล้วให้เช่า 5 ปีแล้วมันไม่คุ้มเพราะเราไม่ได้เก็บค่าเช่าเยอะ” วรรณา กล่าว
ด้าน บวร ทรัพย์สิงห์ นักวิจัยประจำสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเสริมว่า การสนับสนุนอาคารหรือที่ดินสำหรับแก้ไขปัญหาชุมชนแออัด รัฐสามารถใช้มาตรการทางภาษีเพื่อจูงใจให้เจ้าของที่ดินมาเข้าร่วมโครงการได้ เช่นเดียวกับการแก้ไขปัญหา “หาบเร่แผงลอย” หากเอกชนสนับสนุนที่ดินให้ผู้ค้าสามารถย้ายเข้าไปทำกินได้ รัฐก็สามารถใช้มาตรการภาษี รวมถึงมาตรการผังเมืองเพื่อให้สร้างอาคารได้สูงขึ้น!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี