lการเรียนรู้และความเข้าใจประวัติศาสตร์ไทย ควรใช้หลักการ หรือหลักคิดอะไร? หลักคิดหนึ่ง คือ “ความคิด ความรู้ และอำนาจการเมือง” ตัวอย่างที่นำมาเสนอ เพื่อ เป็นการศึกษาเรียนรู้ ว่า ควรจะนำมาใช้อย่างไร ? และเราจะนำมาประยุกต์ใช้กับ “เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖” อย่างไร
l“ความคิด ความรู้ และอำนาจการเมือง ในการปฏิวัติสยาม 2475” โดยอาจารย์นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ พยายามเน้นการศึกษาไปที่ภาพการเคลื่อนไหวของสังคมการเมืองโดยรวมทั้งหมด นับตั้งแต่ชนชั้นสูง ผู้มีอำนาจทางการเมือง ระบบราชการ ปัญญาชน พ่อค้า ชนชั้นกลาง นักหนังสือพิมพ์ ไล่เลียงลงมาจนถึงระดับของราษฎรทั่วไปการนำเสนอการศึกษา “เหตุการณ์ 24 มิถุนา” โดยมีจุดมุ่งหมายและวิธีการศึกษาที่แน่ชัดคือการเผยให้เห็นว่าความคิด ความรู้ และอำนาจการเมือง ที่ควบคุมความรับรู้เกี่ยวกับ “เหตุการณ์ 24 มิถุนา” นั้น มีอะไรบ้าง ทำงานอย่างไร ส่วนการตีความ/ช่วงชิงความหมายเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้คงจะเป็นหน้าที่ของผู้อ่าน
การมุ่งสำรวจหลักฐานอย่างกว้างขวางและการขยายกรอบคิดในการศึกษาที่ก้าวพ้นจากแนวทางการศึกษาแบบเดิม ทำให้งานศึกษาการปฏิวัติสยามชิ้นนี้สามารถค้นพบองค์ความรู้ใหม่ๆ หลายอย่าง ซึ่งมีข้อเท็จจริงรองรับและถือเป็นจุดเริ่มต้นในการปลดปล่อยความคิดในการศึกษาประวัติศาสตร์การปฏิวัติสยาม 2475 จากพันธนาการของความคิดความรู้และคำอธิบายดั้งเดิมที่ครอบงำสังคมไทยมายาวนาน
(ประเด็นที่สำคัญยิ่ง คือ “องค์ความรู้ใหม่นั้น” ต้องเป็นองค์ความรู้ ที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของสังคมไทยอย่างแท้จริง และเป็นการประยุกต์องค์ความรู้ที่ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากกรอบความคิดตะวันตก ให้สามารถใช้ได้จริงในสังคมไทย) : ชัยวัฒน์ สุรวิชัย
อาจารย์นครินทร์เริ่มต้นเรื่องของ “ความรู้” โดยการนำเราไปสำรวจขอบเขตและความเป็นมาของความรู้เรื่องอดีตของการปฏิวัติสยาม 2475 ที่มีพัฒนาการสะสมอยู่แล้วในสังคมไทย เป็นการวางรากฐานให้กับผู้ที่สนใจในการเรียนรู้ว่ามีคำอธิบายแบบใดดำรงอยู่แล้วบ้าง และคำอธิบายดังกล่าวมีที่มาและพัฒนาการอย่างไร
l 1. เรื่องของ “ความรู้” โดยการนำเราไปสำรวจขอบเขตและความเป็นมาของความรู้เรื่องอดีตของการปฏิวัติสยาม 2475 ที่มีพัฒนาการสะสมอยู่แล้วในสังคมไทย เป็นการวางรากฐานให้กับผู้ที่สนใจในการเรียนรู้ว่ามีคำอธิบายแบบใดดำรงอยู่แล้วบ้าง และคำอธิบายดังกล่าวมีที่มาและพัฒนาการอย่างไร
การศึกษาในบทนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือด้านการรับรู้และด้านของโครงสร้างประวัติศาสตร์ในส่วนแรกจะสะท้อนให้เห็นการปรับเปลี่ยนการรับรู้ในช่วงต่างๆ ซึ่งบางสิ่งสูญหายจากความทรงจำในปัจจุบันไปแล้วและบางสิ่งได้ถูกสร้างขึ้นใหม่-สำหรับในส่วนหลังจะแสดงให้เห็นว่ามีข้อสมมุติมากมายเกี่ยวกับการอธิบาย “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” “ศักดินา” “ประชาธิปไตย”และ “รัฐธรรมนูญ” ที่ต่างกัน ซึ่งนำไปสู่การสร้างความรู้ความเข้าใจที่ต่างกันในท้ายที่สุด
“ประชาธิปไตย” เป็นคำที่อาจจะมีปัญหามากที่สุดนับแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน ถึงแม้รัฐไทยจะได้ชื่อว่ามีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยมานานกว่าครึ่งศตวรรษ แต่ก็เป็น “ประชาธิปไตย” ที่เดินทางมาอย่างระหกระเหินเต็มที
สำรวจ “วาทกรรมการเมืองว่าด้วยประชาธิปไตยของไทย” เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในระบบวิธีคิดและการก่อตัวของวาทกรรมการเมือง 2 ชุดในกระบวนการทางประวัติศาสตร์สยาม/ไทย
๑.วาทกรรมชุดแรกเป็นของสาย “สำนักคิดประเพณี” ซึ่งกำเนิดขึ้นมาในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 25 โดยกลุ่มนักคิดสายราชวงศ์และขุนนางรุ่นแรก ที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดตะวันตก นักคิดกลุ่มนี้เห็นว่าระบอบประชาธิปไตยไทยมีมาช้านานหรืออย่างน้อยก็มีแนวโน้มและมีการเตรียมการมายาวนานโดยองค์พระมหากษัตริย์และพิจารณาการเมืองไทยหลัง พ.ศ. 2475 ว่าเป็น “ยุคมืด” กระแสความคิดนี้จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อผู้นำของระบบราชการและทหาร ซึ่งมีอำนาจสืบต่อมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใน พ.ศ. 2490
๒.วาทกรรมอีกชุดหนึ่งคือ วาทกรรมของ “สำนักคิดตะวันตก” ซึ่งถือกำเนิดในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 25 เช่นกัน นักคิดกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มนักเรียนนอกที่สนใจวิชากฎหมายและวิชาเศรษฐศาสตร์การเมือง นักคิดกลุ่มนี้จะพิจารณาการเมืองไทยก่อน พ.ศ. 2475 ว่าเป็นการปรับตัวของสถาบันการเมืองซึ่งมีลักษณะเฉพาะและไม่ได้มีลักษณะเป็นประชาธิปไตยแต่อย่างใด และเห็นว่าการเมืองไทยหลัง พ.ศ. 2475 เป็นยุคใหม่ ยุคแห่งความหวัง
การศึกษาในบทนี้จะเกี่ยวเนื่องกับการให้ “คำนิยาม” ในเรื่องของประชาธิปไตยและการยืนยันระบบความรู้ต่างๆ ที่ตามมาของทั้งสองสำนักคิด
l 2.ส่วนของ “ความคิด” ที่ส่งอิทธิพลต่อการเมืองไทยสมัยใหม่
“ความคิดฝรั่งเศส” ดูจะส่งอิทธิพลต่อกลุ่มผู้นำของคณะราษฎรอย่างเด่นชัดที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนกฎหมายฝรั่งเศสที่เรียกร้องให้มี “กษัตริย์ใต้กฎหมาย”หลักการแบ่งแยกอำนาจถูกนำมาปรับใช้ภายหลังการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง นายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้ร่างรัฐธรรมนูญการปกครองฉบับเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้แบ่งอำนาจอธิปไตยไว้ 4 ทาง คือ พระมหากษัตริย์ สภาผู้แทนราษฎรคณะกรรมการราษฎร และศาล โดยมุ่งหวังให้มีการกำหนดสิทธิและอำนาจหน้าที่ของแต่ละส่วนให้ถ่วงดุลซึ่งกันและกัน และให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจสูงสุด
นอกจากนี้เขายังตั้งใจจะให้มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคม โดยได้ร่าง “เค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ”ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2475 ซึ่งสะท้อนว่าเขาได้รับอิทธิพลจากความคิดฝรั่งเศสอยู่ด้วยในหลายๆ เรื่อง นอกจากนี้นายปรีดี พนมยงค์ ยังเห็นว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงความคิดของคนผ่านระบบการศึกษาด้วย จึงได้ตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2477 ถึงแม้ความคิดฝรั่งเศสจะมีอิทธิพลต่อการเมืองไทยสมัยใหม่ แต่ก็ไม่ใช่ความคิดเดียวและยังต้องเคลื่อนไหวไปตามสภาพแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ โครงสร้างอำนาจ และระบบค่านิยมของไทยเอง
ในบทที่ 4 จะเป็นการศึกษาถึงพลังทางภูมิปัญญา ที่เป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในทศวรรษ 2470 รวมทั้งความสัมพันธ์กับผู้คนในระดับต่างๆ ของสังคม การวิเคราะห์ในส่วนนี้จะตระหนักถึงคนจำนวนมากในสังคม ไม่เน้นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดเป็นการเฉพาะ ซึ่งอาจารย์นครินทร์เห็นว่าจะให้ภาพสังคมที่มีความเคลื่อนไหวและใกล้เคียงความเป็นจริงมากกว่า
และภาพที่ปรากฏก็คือ สังคมสยามมีการเปลี่ยนแปลงและมีการเคลื่อนไหวจากกลุ่มคนหลายระดับ และนำมาซึ่งวิกฤตการณ์ของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสมัยรัชกาลที่ 7 (ก่อน พ.ศ. 2475) ที่สำคัญสองลักษณะคือ
๑.วิกฤตการณ์เกี่ยวกับความชอบธรรม (การเสื่อมศรัทธาในราชวงศ์ มีการวิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์ ฯลฯ)
๒.วิกฤตการณ์เกี่ยวกับประสิทธิภาพของระบอบการปกครอง (การที่ระบอบการปกครองมีข้อจำกัดไม่สามารถแก้ปัญหาตามความคาดหวังของผู้คนได้)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี