จนถึงทุกวันนี้ คนไทยจำนวนไม่น้อยก็ยังเชื่อเหมือนเดิมว่า สังคมไทยนั้นหาความยุติธรรมแท้จริงได้ยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก คนรวยทำผิดแล้วไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ ส่วนคนจนคนด้อยโอกาส ไร้อำนาจต่อสู่ แม้ทำผิดเพียงนิดเดียว หรืออาจไม่ได้กระทำผิดเลย แต่ไม่มีปัญญาจ้างทนายที่มีลูกเล่นกลเม็ดแพรวพราว ก็มีสิทธิ์ถูกส่งตัวไปเข้าคุกเข้าตะรางได้ จนทำให้ความเชื่อว่าคุกไทยมีไว้ขังหมาและคนจน เป็นความจริงเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
คนทำผิด ไม่ต้องติดคุกมีให้เห็นมากมายจนสาธยายไม่ถ้วนในประเทศไทย ส่วนคนที่ติดคุกนั้น บางคนก็ไม่ได้กระทำผิดแม้แต่น้อย แต่ทว่าไม่มีปัญญาแก้ต่างให้ตัวเองหลุดพ้นจากการถูกยัดข้อหา จนในที่สุดก็ต้องติดคุก แม้จะไม่ได้กระทำผิด
นี่คือความอยุติธรรมอย่างเด่นชัดในสังคมไทย เพราะฉะนั้น สังคมแบบนี้จึงเต็มไปด้วยระบบเส้นสาย อภิสิทธิ์ อำนาจเถื่อน อำนาจมือ และความไม่ยุติธรรม
สังคมใดก็ตามที่คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นในระบบยุติธรรม สังคมนั้นไม่มีวันเกิดความสงบสุข สมานฉันท์ และไม่มีวันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างแน่นอน เพราะเมื่อสังคมไม่ยึดมั่นในหลักนิติรัฐ ก็หมายความว่า คนทำผิดไม่ต้องถูกลงโทษดำเนินคดีตามกระบวนการของกฎหมาย ดังนั้น จึงไม่ต้องประหลาดใจว่า ทำไมสังคมไทยจึงกลายเป็นสังคมสับปลับ หน้าไหว้ หลังหลอก ปากว่า ตาขยิบ และสุดท้ายก็กลายเป็นสังคมที่ไม่ต้องถามหาความยุติธรรม เพราะมันหาไม่เคยได้ในสังคมนี้
ปัญหาใหญ่ข้อหนึ่งของสังคมไทยคือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางฐานะสังคม โดยเฉพาะเศรษฐสถานะ และฐานะทางอำนาจ ที่นำไปสู่ผลต่อการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของสมาชิกสังคม
แน่นอนว่าปัญหานี้มีรากฐานสำคัญมาจากระบบเส้นสาย ระบบอุปถัมภ์ ระบบพวกพ้อง เน้นการเชิดชูคนมีอำนาจ ทั้งอำนาจรัฐ และอำนาจเงิน โดยไม่นำพาว่าผู้มีอำนาจเหล่านั้น ได้อำนาจมาโดยสุจริต ชอบธรรมหรือไม่
ประกอบกับการหลงใหลในทุนนิยมแบบสุดโต่ง ชูเชิดบูชาคนมีเงินมากๆ จนไม่สนใจว่าคนมีเงินกระทำผิดกฎหมายสถานใด เพราะสามารถใช้เงินซื้อทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้กระทั่งใช้เพื่อบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จึงนำไปสู่การเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่และบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม เพราะฉะนั้น เรื่องการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลจึงเกิดขึ้นตลอดเวลา นับจากอดีต ปัจจุบัน เรื่อยไปจนถึงอนาคต
เราพบเห็นเป็นประจำว่าเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมจำนวนไม่น้อยเลือกปฏิบัติต่อบุคคลที่มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต มีฐานะเศรษฐกิจดีมากๆ มีสถานะทางสังคมสูงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องถามหาความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรมอีกต่อไปเพราะเมื่อเกิดความไม่เป็นธรรมตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการยุติธรรมเสียแล้ว เพราะฉะนั้น จึงยากที่จะเกิดความเป็นธรรมได้ในกระบวนการยุติธรรมขั้นต่อๆ ไป
ปัญหาในกระบวนการยุติธรรม ประการต่อมาเกิดจากตัวของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งนับเป็นปัญหาใหญ่หลวงของกระบวนการยุติธรรมไทยนั้นเนื่องมาจากอดีตจนกระทั่งปัจจุบัน โดย สมบัติ พฤฒิพงศภัศ ได้กล่าวเชิงเปรียบเทียบให้เห็นเป็นสัดส่วนไว้ว่าร้อยละ 80 ในปัญหากระบวนการยุติธรรม เกิดมาจากบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม
แน่นอนว่า กระบวนการยุติธรรมที่มีความเที่ยงธรรมนั้น ต้องมีบุคลากรในกระบวนการที่มีคุณสมบัติสำคัญคือ เป็นคนดี และเป็นคนเก่งที่แท้จริง แต่ก็มีคำถามเสมอๆ ว่า แล้วบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมไทยทุกคนเป็นคนดีและเก่งแท้จริง หรือไม่
ปัญหาประเด็นต่อมาคือ พบว่าบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมของไทยจำนวนไม่น้อย มองว่าประชาชนเป็นผู้ที่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากตนเอง โดยไม่มองว่าตนเองนั้นมีหน้าที่ให้ความเป็นธรรม หรือมีหน้าที่รับใช้ประชาชน เมื่อบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมดันมีความคิดเช่นนี้เสียแล้วก็ทำให้ยากที่จะให้บริการด้านความเป็นธรรมที่แท้จริงกับประชาชนได้
ปัญหาประเด็นถัดมาคือ บุคลากรในกระบวนการยุติธรรม (ดูเสมือน)มีความรู้เชิงทฤษฎี แต่ปฏิบัติไม่ถูกต้อง แต่ที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าคือ บุคลากรบางรายไม่มีทั้งความรู้ด้านทฤษฎี และไม่มีความสามารถในเชิงปฏิบัติด้วย ซึ่งปัญหานี้นำไปสู่เรื่องการไร้มาตรฐานและความเที่ยงธรรมในการสั่งคดี หรือการพิพากษาอรรถคดีต่างๆ อันส่งให้ผลให้การตัดสินคดีต่างๆ ที่มีเหตุการณ์หรือลักษณะเดียวกัน แต่กลับกลายว่าตัดสินคดีแตกต่างกันไป
อันที่จริง ยังมีปัญหาต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรมอีกมาก อาทิ ปัญหาอันเกิดจากระบบการศึกษาด้านนิติศาสตร์ของไทย โดยพบว่าสถาบันการศึกษาที่สอนด้านนิติศาสตร์จำนวนหนึ่งเน้นการสอนเพื่อให้ผู้เรียนสอบผ่านหลักสูตรเนติบัณฑิตยสภา มากกว่าจะเน้นการสอนให้ผู้เรียนเข้าใจอย่างลึกซึ้งในหลักนิติปรัชญา เพราะต้องการให้ผู้ศึกษาจากสำนักของตน สอบผ่านเนติบัณฑิตให้ได้จำนวนมากๆ โดยไม่ได้มุ่งเน้นการเรียนการสอนในเชิงวิชาการ แต่ไปเน้นการเรียนการสอนตามแนวคำพิพากษามากเกินไป
นอกจากนั้น ยังพบว่าผู้สอนผู้บรรยายในคณะนิติศาสตร์จำนวนไม่น้อยไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษาในเชิงวิชาการที่แท้จริง แต่ทว่ากลับสอนผู้เรียนนิติศาสตร์ไปตามแนวคำพิพากษา โดยไม่ได้สอนให้ผู้ศึกษาตั้งข้อสังเกตกับคำพิพากษาแม้แต่น้อยซึ่งการสอนแบบนี้ไม่ทำให้ผู้เรียนนิติศาสตร์เข้าใจหลักกฎหมายที่แท้จริง และละเลยหลักนิติปรัชญาไปโดยสิ้นเชิง
ประเด็นปัญหาต่อมาคือ บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมไม่ได้รับการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆ ให้ทันยุคทันสมัย ทันเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วตามพลวัตของโลก หรือพูดง่ายๆ เมื่อสังคมมีพลวัตตลอดเวลา แต่คนในกระบวนการยุติธรรมจำนวนไม่น้อยไม่สามารถทำให้ตัวเองเท่าทันกับพลวัตของโลก ก็ทำให้เกิดปัญหาในการทำงานเพื่อให้ความยุติธรรมกับประชาชน นั่นหมายความว่าหากบุคลากรของกระบวนการยุติธรรมไม่ทันยุคทันสมัย ไม่ทันการณ์ ก็หมายความว่าบุคลากรเหล่านั้นไม่สามารถอำนวยความเป็นธรรมอย่างแท้จริงให้กับประชาชนได้อย่างทันเหตุและทันการณ์
นักกฎหมายที่ดำรงความยุติธรรมได้อย่างเที่ยงธรรม กล่าวว่าการศึกษากฎหมายที่ถูกต้อง ต้องทำให้บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมเกิดความรู้ ความเข้าใจในตัวบทกฎหมาย และสามารถสร้างแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ได้ถูกต้องตรงตามเจตนารมณ์ของหลักนิติปรัชญา และบทบัญญัติของกฎหมายให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงไปทุกขณะเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายดำเนินไปอย่างถูกต้อง สอดคล้องกับบริบทของสังคม อันทำให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อความผาสุกของสังคมโดยแท้จริง
ประเด็นปัญหาต่อมาคือ การแทรกแซงการทำงานในกระบวนการยุติธรรมโดยอำนาจต่างๆ เช่น อำนาจการเมือง อำนาจเงิน แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนคือการแทรกแซงโดยอำนาจการเมือง ซึ่งส่งผลกระทบด้านลบอย่างรุนแรงและกว้างขวางมาก และก็ต้องยอมรับว่ามีการใช้อำนาจรัฐแทรกแซงเข้าไปในกระบวนการยุติธรรมมาโดยตลอด
ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลมากี่ยุคกี่สมัย ปัญหานี้ก็ยังคงอยู่ต่อไป ไม่สามารถขจัดให้หมดสิ้นไปได้
เราจะเห็นได้ชัดๆ ประการหนึ่งคือ การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่เคยปลอดจากการถูกอำนาจการเมืองแทรกแซง โดยจะเห็นว่านายกรัฐมนตรีมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจเลือกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
นอกจากนี้ยังมีการแทรกแซงในลักษณะต่างๆ เช่น การแทรกแซงภายในหน่วยงาน โดยผ่านการแต่งตั้งโยกย้าย เป็นต้น
และยังมีการแทรกแซงอื่นๆ เช่น การแทรกแซงโดยอำนาจเงิน และอำนาจเถื่อนอื่นๆ และการแทรกแซงโดยผ่านความสัมพันธ์ส่วนตัว เช่น เครือญาติ เพื่อนร่วมรุ่นสถาบันการศึกษา เพื่อนร่วมรุ่นการอบรมหลักสูตรอภิสิทธิ์ชนต่างๆ นานาที่มีมากมายสารพัดหลักสูตร
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาสำคัญอีกเรื่องคือ ไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลบุคลากรด้านความยุติธรรม โดยองค์กรภายนอกที่เป็นกลางโดยแท้จริง รวมถึงยังไม่มีการตรวจสอบ ถ่วงดุลจากหน่วยงานภายในองค์กรอำนวยความยุติธรรมที่ทำหน้าที่อย่างเคร่งครัด และที่สำคัญคือภาคประชาชนไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ดังนั้น หากไม่มีการตรวจสอบ ไม่มีการถ่วงดุลบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมแล้ว ก็คงยากที่จะหาความโปร่งใส และความเป็นกลางโดยแท้จริงในกระบวนการยุติธรรม เพราะองค์กรที่ปราศจากการถูกตรวจสอบ และขาดการถ่วงดุลอำนาจแล้ว ก็ไม่สามารถหาความขาวสะอาด โปร่งใสที่แท้จริงได้
กระบวนการยุติธรรมของไทยต้องงามสง่า ต้องเป็นที่น่าเชื่อถือ และได้รับความไว้วางใจจากประชาชนทั้งประเทศ บุคลากรทุกคนในกระบวนการยุติธรรมต้องมีคุณภาพ มีคุณธรรม มีสติปัญญาที่ฉลาดเฉลียวเหมาะสมกับการทำหน้าที่ผู้อำนวยความยุติธรรมให้กับสาธารณชนอย่างแท้จริง
การอ้างว่า ตำรวจ อัยการผู้พิพากษาส่วนใหญ่เป็นคนดี แต่มีเพียงส่วนน้อยเป็นคนไม่ดี การอ้างแบบนี้ เป็นการอ้างแบบที่ทำให้สังคมตั้งคำถามกลับว่า เมื่อรู้ปัญหาเช่นนี้แล้ว ทำไมยังปล่อยให้คนไม่ดีอยู่ในกระบวนการยุติธรรมต่อไปได้ เหตุใดจึงไม่สร้างระบบ หรือสร้างกลไก รวมถึงมาตรการต่างๆ ให้รัดกุม เพื่อกำจัดคนไม่ดีออกไปจากกระบวนการยุติธรรมของไทยให้หมดสิ้นไม่ควรปล่อยให้เหลือไว้แม้เพียงคนเดียวก็ตาม การอ้างว่ามีคนดีจำนวนมากในกระบวนการยุติธรรม แต่ก็ยอมรับว่ามีคนไม่ดีปะปนอยู่ด้วย ทำให้ประชาชนไม่ไว้วางใจในความซื่อสัตย์สุจริตของกระบวนการยุติธรรมโดยภาพรวม และจะนำมาซึ่งความไม่ไว้วางใจของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมในที่สุด
(หมายเหตุ เนื้อหาในบทความนี้บางส่วนนำมาจากการเสวนาเรื่อง กระบวนการยุติธรรมไทย รู้อดีต เข้าใจปัจจุบัน เชื่อมั่นอนาคต ที่จัดขึ้นเมื่อ26 มกราคม 2558)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี