รัฐบาลเศรษฐาได้จัดตั้งขึ้นแล้ว ในสัปดาห์หน้าคงจะมีคณะรัฐมนตรีเข้าบริหารราชการแผ่นดิน และเป็นอันสิ้นสุดการทำหน้าที่ของรัฐบาลรักษาการ ในห้วงเวลานับแต่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี มาจนถึงวันนี้ปรากฏว่าประมุขรัฐต่างประเทศและทูตต่างประเทศได้พบปะหารือกับนายกรัฐมนตรีเศรษฐาเป็นระยะๆ แม้ว่านายกรัฐมนตรียังมิได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความรู้สึกนึกคิดของต่างประเทศซึ่งไม่ต่างกับประชาชนชาวไทยย่อมมีความกังวลห่วงใยนโยบายและจุดยืนด้านต่างประเทศของรัฐบาลเศรษฐาว่าจะเป็นประการใด เพราะโลกในปัจจุบันนี้มาถึงสถานการณ์ที่ล่อแหลมที่อาจเกิดเป็นสงครามใหญ่ทั้งในระดับพื้นที่ ระดับภูมิภาคหรือกระทั่งเป็นสงครามโลกขึ้นในวันใดวันหนึ่งก็ได้
ดังนั้นการดำเนินวิเทโศบาย รวมทั้งการดำเนินนโยบายต่างประเทศและการวางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะกับขั้วมหาอำนาจของโลกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และมีผลต่อความผาสุก ความสงบร่มเย็น หรือความขัดแย้งและสงครามในภายภาคหน้า จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนชาวไทยทุกคนจะต้องตื่นรู้ขึ้นทำความเข้าใจในเรื่องนี้และเป็นกำลังใจให้กับรัฐบาลในการดำเนินวิเทโศบายให้เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ชาติบ้านเมืองของเราและผองเราเผ่าไทยทั้งผองจึงจะมีความปลอดภัยมีความสงบสุข มีสันติภาพ มีการพัฒนาและมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่องสืบไป
นายกฯเศรษฐามีพื้นเพเป็นนักธุรกิจที่มีความกว้างขวางในวงการธุรกิจของประเทศ มีเพื่อนมิตรเป็นเครือข่ายในต่างประเทศเป็นจำนวนมาก แต่ทว่าที่ผ่านมานั้นคนทั้งหลายยังไม่เห็นประจักษ์ในทัศนะหรือความคิดหรือแนวทางเกี่ยวกับวิเทโศบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ทุกคนให้ความสนใจ และในสถานการณ์เช่นนี้ก็ต้องให้กำลังใจและมอบความวางใจว่ารัฐบาลใหม่จะสามารถดำเนินวิเทโศบายที่ถูกต้องเพื่อประโยชน์และความมั่นคงของประเทศชาติและประชาชน
ก็ต้องกล่าวว่านับแต่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา ประเทศไทยได้กำหนดหลักวิเทโศบายเชิงรับ ดังที่ปรากฏในยุทธศาสตร์ชาติที่องค์พระปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ได้ทรงกำหนดไว้ว่า “จะปกป้องขอบขัณฑสีมา จะบำรุงประชาและมนตรี”
หลักวิเทโศบายเชิงรับดังกล่าวมุ่งเน้นอยู่กับการตั้งรับการรุกจากด้านตะวันตกคือพม่าเป็นหลัก และระมัดระวังในระดับการป้องกันด้านตะวันออก คือเขมร ลาว ญวน
มาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ขึ้นในยุโรป รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในยุคนั้นทราบสถานการณ์ถ่องแท้ว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว ยุโรปกำลังเจริญรุ่งเรืองและมีความเกรียงไกรทางการทหาร จึงทรงเตือนผู้รับผิดชอบทั้งหลายของบ้านเมืองในขณะนั้นว่า
นับแต่นี้ไปการศึกข้างพม่า ลาว เขมร ญวน เห็นจะไม่มีแล้ว แต่ต้องระวังพวกฝรั่งตาน้ำข้าวไม่ให้ทำอันตรายได้
สถานการณ์ในขณะนั้นประเทศทั่วไปในเอเชียแทบไม่มีประเทศใดหยั่งทราบความเป็นไปในยุโรปอย่างแท้จริง ยุโรปได้ผ่านการปฏิวัติอุตสาหกรรม มีความมั่งคั่งร่ำรวย สามารถพัฒนาแสนยานุภาพทางการทหารและปรับปรุงยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีแบบใหม่ ด้วยอาวุธสมัยใหม่ และสามารถตั้งกองเรือที่สามารถขับเคลื่อนไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
หลายประเทศที่ไม่รู้เรื่องรู้ความก็สูญเสียชาติบ้านเมืองให้แก่ฝรั่งตาน้ำข้าว แต่เพราะหลักพระราชวิเทโศบายที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ทรงวางไว้นั้นทำให้พระบรมราชวงศ์จำนวนมากต้องเอาพระทัยใส่กิจการด้านยุโรป หลายพระองค์ได้ทรงศึกษาเล่าเรียนภาษาวัฒนธรรมประเพณีของชาวยุโรป ตลอดจนการสัมพันธ์ระหว่างประเทศและพิธีการทางการทูตทั้งหลายเพื่อไม่ให้ฝรั่งตาน้ำข้าวดูถูกได้ว่าเป็นชาวป่าคนเถื่อน
ดังนั้นจึงเป็นผลให้ยุคสมัยนั้นในขณะที่ประมุขและเชื้อพระวงศ์หรือขุนนางผู้ใหญ่ของประเทศต่าง ๆ ในเอเชียไม่รู้จักฝรั่ง พูดฝรั่งไม่ได้ ไม่รู้ธรรมเนียมฝรั่ง กลัวฝรั่ง จนทำให้เสียบ้านเสียเมือง เสียพระเกียรติยศกันแทบทั้งเอเชีย ในขณะที่สยามสามารถรักษาเอกราชอธิปไตย ความมีเกียรติและศักดิ์ศรีของชาติเอาไว้ได้ กระทั่งถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เสด็จฯไปเจริญไมตรีกับชาวยุโรปถึงสองครั้ง
และในที่สุดหลังจากเสด็จฯกลับจากยุโรปแล้วก็ได้ทรงกำหนดยุทธศาสตร์ชาติสองแนวทางขึ้น ควบคู่ไปกับการกำหนดหลักวิเทโศบายที่จะใช้เป็นหลักในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสยามให้เป็นหลักปฏิบัติ
หลักพระราชวิเทโศบายที่ทรงกำหนดคือ สยามจะต้องไม่ตั้งตนเป็นศัตรูกับชาติใดในโลก สยามจะต้องผูกมิตรไมตรีกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก บนพื้นฐานความเสมอภาค การอำนวยผลประโยชน์ร่วมกัน และการไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน
พระราชวิเทโศบายดังกล่าวได้ใช้เป็นหลักนโยบายต่างประเทศของสยามตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จนกระทั่งแม้เปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 แล้ว ก็ยังดำรงหลักวิเทโศบายนี้ไว้อย่างมั่นคง
แต่เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก ตั้งอยู่ในภูมิยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางความขัดแย้งและการช่วงชิง
มีฐานะไม่ต่างกับเมืองเกงจิ๋วในยุคสามก๊ก ซึ่งขงเบ้งเคยชี้ไว้ว่าแผ่นดินเมืองเกงจิ๋วด้านเหนือจรดวุยก๊ก ด้านใต้จรดง่อก๊กด้านตะวันตกจรดจ๊กก๊ก และเตียวล่อเมืองฮันต๋ง เป็นพื้นที่ช่วงชิงของทุกฝ่ายเพราะใครได้เกงจิ๋วก็จะทรงอำนาจเหนือแคว้นทั้งปวง ดังนั้นถ้าไม่แน่จริงก็จะรักษาเกงจิ๋วไม่ได้
ประเทศไทยของเราทุกวันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าไม่แน่จริง
ก็จะรักษาบ้านเมืองไม่ได้ จะแน่จริงก็ต้องยึดมั่นในหลักพระราชวิเทโศบายที่พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระราชทานวางหลักไว้ให้ ให้มีพลานุภาพสูงสุดในยุคปัจจุบัน บนสถานการณ์ความเป็นจริงของความขัดแย้งของโลก ประเทศไทยของเราก็จะมีความสวัสดี
อาจจะเป็นจังหวะเวลาที่ดีของนายกฯเศรษฐา เพราะในกลางเดือนหน้านายกฯเศรษฐาจะต้องเดินทางไปปราศรัยต่อที่ประชุมสหประชาชาติ ณ โอกาสนั้นแหละเป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมในการประกาศหลักวิเทโศบายของราชอาณาจักรไทยให้เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกฝ่ายทุกขั้วอำนาจของโลก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี