ดูเหมือนว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาจนถึงบัดนี้กำลังจ้ำจี้จ้ำไชกันด้วยเรื่องการเกณฑ์ทหาร การลดกำลังทหาร และการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ หลายครั้งหลายกรณีทำกันราวกับเป็นเรื่องเอาเป็นเอาตาย ประหนึ่งว่าถ้าไม่เลิกเกณฑ์ทหาร ไม่ลดกำลังทหาร และยังจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ก็จะเป็นเรื่องเป็นเรื่องตายของบ้านเมืองกันทีเดียว
ก็ต้องบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเหลวไหลเลอะเทอะ เป็นเรื่องของกระแส ที่เหมือนกระแสน้ำยามต้นน้ำหลาก ทั้งขยะ ทั้งผักตบ ทั้งสวะ ทั้งของเน่าของเหม็นทั้งหลายก็จะหลั่งไหลไปตามกระแสน้ำ ฉันใดก็ฉันนั้น
รัฐบาลเศรษฐาเพิ่งตั้งขึ้นและเพิ่งถวายสัตย์ปฏิญาณเข้ารับหน้าที่ในวันที่ 5 กันยายน 2566 เวลา 14.00 น. แต่ดูเหมือนว่าทั้งสามเรื่องนี้ก็ยังเป็นเรื่องลุกโหมรุมเร้า จนกระทั่งรัฐมนตรีกลาโหมต้องคอยตอบคำถามกันไม่เว้นแต่ละวัน ตั้งแต่ก่อนถวายสัตย์ปฏิญาณ แม้มาจนถึงการถวายสัตย์ปฏิญาณแล้ว กระทั่งจ้องจับตากันว่าในวันแถลงนโยบายจะฟาดฟันห้ำหั่นเรื่องนี้กันอย่างไร
สภาพเช่นนี้มีความจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้กันสักครั้ง จะได้ไม่ตั้งอยู่ในความเหลวไหลเลอะเทอะ และจะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน อันจะเป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองที่กองทัพก็ดี ประชาชนก็ดีจะได้เห็นพ้องสร้างสรรค์ไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้นจะได้พรรณนาไปแต่ละเรื่องโดยลำดับ
เรื่องแรก คือเรื่องจะต้องยกเลิกการเกณฑ์ทหารหรือไม่
เรื่องนี้ความจริงกระทรวงกลาโหมได้มีแผนปฏิบัติการอยู่แล้วที่จะมีการเปิดรับสมัครทหารตามอัตรากำลังที่ต้องการตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ซึ่งจะสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในการสรรหาบุคลากรของกองทัพที่ประเทศทั้งหลายในโลกก็ปรับเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้ คือรับคนให้ตรงกับความต้องการและภารกิจ ไม่ใช่ไปตั้งหน้าเกณฑ์โดยที่ไม่มีการสมัครใจแล้วได้คนไม่ตรงกับความต้องการ
หมายความว่าในแต่ละห้วงเวลากองทัพมีความต้องการบุคลากรที่มีคุณสมบัติอย่างไร ก็จะประกาศรับสมัครบุคคลเข้าเป็นทหารตามคุณสมบัตินั้น และตามจำนวนความต้องการของกองทัพ ซึ่งกองทัพทุกเหล่าเขาก็มีแผนการรองรับอยู่แล้ว
ถ้าหากการรับสมัครได้จำนวนบุคคลตามที่ต้องการก็เป็นอันเสร็จสิ้นการจัดหากำลังพล แต่ถ้าหากว่ารับสมัครแล้วได้บุคลากรไม่ครบตามจำนวนที่ต้องการ ในกรณีเช่นนี้ทุกประเทศก็ปฏิบัติอย่างเดียวกันคือต้องใช้การเกณฑ์ทหารเข้ามาเสริม
ดังนั้นโดยสรุปก็คือจะใช้การรับสมัครเป็นหลักและใช้การเกณฑ์เป็นมาตรการเสริมเพื่อให้ได้จำนวนตามที่ต้องการ จะเลิกการเกณฑ์เสียทีเดียวก็ไม่ได้ จะไม่รับสมัครตามที่ต้องการก็ไม่ได้ จึงต้องใช้ระบบประสานกันเช่นนี้
และเมื่อทราบความจริงดังนี้แล้ว คงจะไม่มีใครสอบถามจ้ำจี้จ้ำไชเรื่องนี้อีกเพราะจะเห็นว่าเป็นเรื่องเชยและเหลวไหลเลอะเทอะ
เรื่องที่สอง คือเรื่องลดกำลังทหาร ที่พูดกันทำกันประหนึ่งว่าการไม่ลดกำลังทหารเป็นเรื่องอาชญากรรมร้ายแรง เป็นเรื่องความผิดร้ายแรงถึงปานนั้น
ความคิดและความเข้าใจเช่นนั้นเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง ประเทศจำเป็นต้องมีกองทัพ กองทัพจำเป็นต้องมีจำนวนทหารที่เพียงพอต่อการป้องกันรักษาเอกราชอธิปไตยและผลประโยชน์แห่งชาติ จะละเลยหรือไม่ทำไม่ได้ ดังนั้นรัฐธรรมนูญทุกฉบับจึงบัญญัติให้เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องจัดให้มีกำลังทหารที่เพียงพอต่อการประกันความปลอดภัยในเอกราชอธิปไตยและผลประโยชน์ของประชาชน
ดังนั้นแต่ละห้วงเวลาจะมีกำลังทหารเท่าใดจึงไม่ขึ้นอยู่กับความต้องการของใคร และไม่ขึ้นอยู่กับแรงกดดันหรือความเพ้อฝันของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าแต่ละห้วงเวลานั้นประเทศอื่นโดยเฉพาะประเทศที่อยู่ใกล้เคียงกัน หรือเกรงว่าจะเป็นภัยคุกคาม เขาจัดกำลังทหารอย่างไร ถ้าสถานการณ์เป็นช่วงลดกำลังทหารก็ต้องลดด้วยกัน แต่ถ้าเป็นสถานการณ์ที่มีการเพิ่มกำลังทหารก็ต้องเพิ่มกำลังทหารให้เพียงพอ ซึ่งเป็นหน้าที่ปกติและเป็นหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญด้วย
การติดตามสถานการณ์เพื่อประเมินการมีกำลังทหารเท่าใด เป็นหน้าที่ของกองทัพที่ต้องหาข่าวล่วงหน้าอยู่เสมอ ดังนั้นใครจะเรียกร้องหรือพูดจาส่งเดชให้ลดกำลังทหารก็พึงสังวรว่าถ้าไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ก็จะเป็นการทำลายชาติบ้านเมืองหรือกระทำผิดต่อรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น การลดกำลังทหารหรือไม่เท่าใดจึงต้องเป็นไปตามแผนของกองทัพ เป้าหมายคือเพื่อประกันไว้ซึ่งความปลอดภัยของเอกราชอธิปไตยและผลประโยชน์แห่งชาติ ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันนี้มีความขัดแย้งระหว่างประเทศสูงมาก จนหวั่นว่าจะเกิดเป็นสงคราม และทุกประเทศกำลังเพิ่มกำลังทหารกันอย่างขนานใหญ่ บางประเทศเพิ่มกำลังทหารกว่าเท่าตัวแล้ว ดังนั้นใครมาเรียกร้องให้ลดกำลังทหารก็พึงสังวรไว้ว่าจะเป็นการทำลายชาติบ้านเมืองและกระทำผิดรัฐธรรมนูญ
แต่ทว่าประเภทของทหารที่ไม่จำเป็นในราชการแล้ว หรือบางหน่วยงานที่มีจำนวนทหารมากเกินไป เช่น ทหารรับใช้ ทหารบริการ รวมทั้งนายพลที่มีกันจนเฟ้อเหมือนกับเงินกีบของประเทศลาว เหล่านี้ควรต้องได้รับการพิจารณาลดจำนวนลงเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ชาติบ้านเมือง
เรื่องที่สาม คือเรื่องการจัดเตรียมจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ ก็เช่นเดียวกัน ทหารจำเป็นต้องมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย และจะมีอาวุธอย่างไรเท่าใดนั้นก็นึกเอาตามใจชอบไม่ได้ จะต้องพิจารณาโดยเปรียบเทียบกับศักยะสงคราม และแสนยานุภาพของประเทศอื่นด้วย เพราะกองทัพจะมีศักยะสงครามและแสนยานุภาพด้อยกว่าชาติอื่นก็อาจต้องตกเป็นขี้ข้าหรือเมืองขึ้นเขาในสักวันหนึ่ง นี่คือหลักการเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่กองทัพเขาต้องแสวงหาข่าวและจัดเตรียมล่วงหน้า ไม่ใช่จู่ๆ ใครจะมาเรียกร้องไม่ให้ทำอย่างนั้น ไม่ให้ซื้ออย่างนี้ ไม่ให้มีอย่างโน้นตามใจชอบได้ และใครทำแบบนั้นก็ให้สังวรว่าอาจจะเป็นการขายชาติโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้
ดังนั้นรัฐธรรมนูญจึงบังคับให้รัฐบาลต้องจัดเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กองทัพให้เพียงพอและเหมาะสม เป้าหมายก็เพื่อความปลอดภัยของชาติและประชาชนนั่นเอง
ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าจึงควรเข้าใจสามเรื่องนี้โดยอเนกประการดังพรรณนามาแล้วนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี