ในช่วงปลายสมัยของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เกิดเหตุการณ์อย่างน้อย 2 เหตุการณ์สำคัญที่เป็นข่าวฮือฮาครึกโครม และตกตะลึงกันไปทุกบางในประเทศไทย และในสังคมทั่วโลก นั่นคือ
1.การกลับสู่มาตุภูมิของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและนักโทษ
2. ดีลลับ (Secret deal) หรือข้อตกลงปลงใจ ระหว่าง ฝ่ายทักษิณ กับฝ่ายประยุทธ์
ในกรณีแรก นายทักษิณ ชินวัตร ในฐานะพลเมืองไทยมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะเดินทางกลับสู่มาตุภูมิ ซึ่งถือเป็นหลักปฏิบัติสากลที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายประจำชาติ และในแง่เพื่อนมนุษย์เราทุกคนควรจะดีใจที่นายทักษิณ ชินวัตร ได้กลับเข้าสู่อ้อมอกของสังคมไทย และก็อดชื่นชมไม่ได้ที่นายทักษิณ ชินวัตร มีความกล้าหาญชาญชัย ที่จะกลับเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อเผชิญกับข้อตัดสินต่างๆ ของศาลยุติธรรม
แต่ประเด็นที่สังคมไทย และเทศดูตระหนกตกใจ และสลดใจเป็นอย่างยิ่งคือ วิธีการต้อนรับดูแลนายทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนักโทษหนีคดี ตั้งแต่ประตูเครื่องบินในลานจอดเครื่องบินส่วนตัว ที่มีพิธีกรรมขบวนแห่อันยิ่งใหญ่ มีการรอต้อนรับของบุคคลสำคัญทางการเมืองมากหน้าหลายตา เสมือนว่านายทักษิณ ชินวัตร เป็นเทพเจ้าก็ไม่ปาน
ฝ่ายเจ้าหน้าที่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ต่างก็พยายามออกมาชี้แจงว่า วิธีการต้อนรับดูแลควบคุม และการพาตัว น.ช.ทักษิณ ไปสถานที่ต่างๆ นั้น เป็นไปด้วยความถูกต้องตามกฎหมาย กฎเกณฑ์กติกา และหลักปฏิบัติอย่างครบถ้วน ขนานไปกับการที่ฝ่ายคณะรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้จัดส่งรัฐมนตรีคนหนึ่งไปร่วมดูแลความเรียบร้อย ซึ่งแน่นอนว่า คงไม่พ้นที่จะมีการไต่ถามเรื่องความทุกข์สุข และความพึงพอใจของนายทักษิณ ชินวัตร สำหรับกระบวนการต้อนรับกลับไทยในครั้งนี้
คำชี้แจงต่างๆ ของทางหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบฟังอย่างไรก็ค้านสายตาที่เห็น จึงไม่น่าเชื่อถือในความรู้สึกนึกคิดของประชาชนพลเมือง เพราะใครๆ ทั้งโลก ต่างก็เห็นว่า การปฏิบัติต่อนายทักษิณ ชินวัตร นั้น ไม่ได้อยู่ในฐานะการปฏิบัติต่อนักโทษหนีคดี หากแต่เป็นการเลือกปฏิบัติในฐานะผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงอิทธิพล เจ้าเหนือหัวของบรรดาลิ่วล้อผู้จงรักภักดีทั้งหลาย โดยไม่ได้มองว่าเป็นผู้ต้องคดีอาญาต่างๆ ของการโกงกินบ้านเมือง ในการนี้ประชาชนพลเมืองก็เลยอดคิดด้วยความสลดใจ และน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้ว่า นักโทษอื่นๆ เป็นแสนๆ คนในฐานะผู้ร่วมชาติ และในฐานะญาติมิตรสหายครอบครัวของคนบางคนนั้น มิเห็นเคยได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนายทักษิณ ชินวัตร แต่ประการใด
และแม้จะมีเสียงวิจารณ์กันอื้ออึงในสังคมไทย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีขณะนั้น ก็ยังทำตัวไม่รู้ไม่ชี้ เสมือนว่าตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่รู้เห็นด้วย จึงไม่ต้องไปรับผิดชอบแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่จริงแล้วพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุด โดยเฉพาะในเรื่องไม่ถูกไม่ควรของบ้านเมืองเป็นสำคัญ
ในเรื่องที่สอง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเคยเป็นผู้ร่วมการปฏิวัติรัฐประหารที่นำโดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เมื่อเดือนกันยายน 2549 ซึ่งเป็นการลบล้างรัฐบาลของ นายทักษิณ ชินวัตร โดยต่อมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังได้เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติที่ล้มล้างรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ที่เป็นหุ่นเชิดของนายทักษิณ ชินวัตร) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 อีกด้วย จึงพอสรุปความได้ว่า นายทักษิณ ฝชินวัตร และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือว่าเป็นศัตรูทางการเมืองต่อกันและกันมาโดยตลอด
แต่มาบัดนี้ บรรดาสมาชิกวุฒิสภา หรือลิ่วล้อในสังกัดของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชากลับทำการเทคะแนนให้นายเศรษฐา ทวีสินหุ่นเชิดคนล่าสุดของนายทักษิณ ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ต่างประสบความสำเร็จในการสกัดกั้น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล มิให้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี (แม้ว่านายพิธา และพรรคก้าวไกลของเขา จะได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นถึง 14 ล้านเสียง ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566)
ในที่สุด นายทักษิณ ชินวัตร และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้กลับมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกัน โดยลืมซึ่งความบาดหมางแต่อดีต เพราะทั้ง 2 ฝ่ายจำเป็นจะต้องรักษาป้อมปราการของฝ่ายอำมาตย์กองทัพ และฝ่ายพลเรือนอำนาจนิยม ที่ต่างเป็นอภิสิทธิ์ชนไว้ให้ได้ โดยช่วยกันป้องกันมิให้ฝ่ายหัวก้าวหน้า หรือฝ่ายมุ่งเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นสังคมประชาธิปไตยเต็มใบได้เข้ามา “แอ้ม” กับอำนาจรัฐของไทย
ที่ออกมาในรูปนี้ ก็เพราะทั้งนายทักษิณ และพลเอกประยุทธ์ และสมัครพรรคพวกนั้นยังคงยึดมั่น ถือมั่นในเรื่องอัตตา ไม่ยอมรับเรื่องอนิจจัง เพียงเพื่อที่จะได้ร่าระเริงกับอำนาจวาสนา ผลประโยชน์ต่างๆ โดยทำเป็นลืมคำมั่นสัญญาต่างๆ ที่ได้เคยให้ไว้กับปวงชนชาวไทย และได้แสดงความพร้อมที่จะปล่อยเกาะ ละทิ้ง กลุ่มผู้สนับสนุนของฝ่ายตนอย่างไม่แยแส
ก็เข้าทำนองว่า พวกข้าฯ ทั้งสอง เป็นใหญ่ในแผ่นดิน และมีความต้องการอย่างนี้อย่างนั้นฟ้าและแผ่นดินจะว่าอย่างไรข้าก็ไม่ยี่หระ เพราะตระหนักรู้ว่าจะไม่มีกลุ่มใดในสังคมไทยจะมีพละกำลังที่จะมาต่อต้านล้มล้างฝ่ายตนได้ ซึ่งความจริงในวันนี้ ก็คงเป็นเช่นนั้นอย่างไม่สามารถที่จะโต้เถียงได้
แต่อย่าลืมว่า สิ่งใดที่มาจากความไม่ดีงามโดยธรรมชาติแล้วก็จะคงอยู่ไปได้เพียงระยะหนึ่งตามกฎแห่งกรรม ซึ่งจะไม่มีความจีรังยั่งยืน ฉะนั้น กลุ่มอำนาจทักษิณ-ประยุทธ์ ในวันนี้อาจจะยังไม่มีสิ่งใดมีพลังพอที่จะทัดทานได้ แต่ตามประวัติศาสต์แล้ว ในหลายๆ สังคม การล่มสลายของกลุ่มอำนาจทุกยุคทุกสมัยนั้นมักจะไม่ได้เกิดขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของชาวบ้าน หรือจากศัตรูภายนอกประเทศ หากแต่เกิดขึ้นจากสนิมเนื้อในนั้นเอง
นัยหนึ่งความแข็งแกร่ง และการอยู่ยงคงกระพันของกลุ่มอำนาจหรือกลุ่มอำมาตย์ทักษิณ-ประยุทธ์นั้น ก็แฝงไว้ซึ่งเมล็ดพันธุ์ของความแตกแยก และการขัดแข้งขัดขาและการชิงดีชิงเด่นซึ่งกันและกันเอง (seeds of destruction) และความเป็นมาและความสำเร็จในการจับมือกอดรัดกันนั้นบนพื้นฐานของการไม่ชอบมาพากล ก็เป็นการ “ร่วมหอลงโรง” ที่เพียบด้วยปัจจัยของการบ่อนทำลายตนเอง (elements of self-destruction)
การจะได้รับการตักเตือนจากประชาชนพลเมืองตอนนี้ ก็คงจะไม่ได้มีการรับฟังแต่อย่างใด เพราะกำลังอยู่ในสภาวะของการเหลิงอำนาจวาสนา และการประเมินค่าของประชาชนพลเมืองอย่างต่ำต้อย แต่การที่ต่างฝ่ายจะสามารถควบคุมสมัครพรรคพวกกันเองได้เด็ดขาดอีกนานแค่ไหน คงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ได้ แล้วแต่ฟ้าดินจะกำหนด และฉะนั้นการเย้ยฟ้าท้าดินครั้งนี้ของกลุ่มอำนาจทักษิณ-ประยุทธ์ ที่เต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบอำนาจภายในกันเองตั้งแต่เริ่มต้น ก็จะน่ามีบทสรุปสุดท้ายที่ไม่นาน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เกินรอ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี