ขอบคุณสถานีโทรทัศน์ท็อปนิวส์
เรียกว่า เป็นสถานีเดียวที่ติดตามนำเสนอความคืบหน้าคดีอาญาของ “ศาสดาสามนิ้ว” และคนใกล้ชิด
สื่อด้อมส้ม ทั้งประเภทด้อมเปิดเผย และประเภทอีแอบ หุบปากเงียบเป็นป่าช้า
ราวกับคดีเหล่านี้ไม่มีอยู่ในสารบบ ทั้งๆ ที่แนวทางของก้าวไกล ก้าวหน้า และม็อบสามนิ้วที่เชียร์ๆ นั้น ขัดแย้งกับพฤติกรรมอันมีมูลเป็นคดีอาญาของตัวศาสดาและคนใกล้ชิดอย่างชัดเจน
1. คดีน้องธนาธรใช้ให้สินบน หวังเช่าที่ดินแปลงงามของสนง.ทรัพย์สินมูลค่าหมื่นล้าน
นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานบริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์จํากัด น้องชายของนายธนาธร ซึ่งถูกพนักงานสอบสวน กองปราบฯ แจ้งดำเนินคดีข้อหาติดสินบน หลังชุดสืบสวนกองปราบฯ สอบสวนขยายผลพบว่า นายสกุลธรมีความผิดในการทุจริตร่วมกับผู้ต้องหาคดีติดสินบนเจ้าพนักงานเพื่อเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ที่ถูกพิพากษาไปก่อนหน้านี้ นั้น
Top News รายงานยืนยันว่า ล่าสุด เมื่อวันที่ 31 ส.ค. ที่ผ่านมา นายสกุลธรได้เดินทางเข้าพบ นายรชต พนมวัน อัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต ภาค 3 เจ้าของสำนวน เพื่อรับฟังคำสั่ง
อัยการได้มีความเห็นสั่งฟ้องนายสกุลธร ในข้อหา “เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่น ให้ขอให้ หรือรับว่าจะให้ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อจูงใจให้กระทำการ และประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่” และ “เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่น ให้ขอให้ หรือรับว่าจะให้ ทรัพยสินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อจูงใจให้กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบ ด้วยหน้าที่ และได้กระทำไปในฐานะเป็นผู้แทนนิติบุคคล และเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคล ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้แล้ว
ศาลได้นัดสอบคำร้องในคดีในวันที่ 19 ก.ย.นี้
สังคมให้ความสนใจคดีนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนายธนาธรเคลื่อนไหวโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ วิพากษ์วิจารณ์การจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์แต่ปรากฏว่า น้องชายแท้ๆ กลับมีพฤติกรรมถูกดำเนินคดีข้อหาใช้ให้สินบนเพื่อได้เช่าที่ดินสำนักงานทรัพย์สินแปลงงาม โดยไม่ต้องประมูล!!!
คดีของนายสกุลธรผ่านมา 2 ปีกว่าแล้ว นับตั้งแต่พนักงานสอบสวน กองปราบฯแจ้งข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา ม.144 เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2564
ก่อนหน้านี้ ศาลอาญาคดีทุจริตฯ(ศาลปราบโกง) มีคำพิพากษาจำคุก นายประสิทธิ์ อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และนายสุรกิจ พนักงานบริษัทเอกชน สองผู้ต้องหารับเงินสินบนเพื่อจัดหาที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ ให้กับนายสกุลธร (ทั้งสองรับโทษและได้ออกจากเรือนจำ)
คำพิพากษาคดีดังกล่าว ระบุพฤติการณ์จ่ายเงินสินบนจำนวน 20 ล้านบาทเพื่อต้องการเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ย่านชิดลม
ต่อมาจากการตรวจสอบพยานหลักฐานจนแน่ชัดแล้วพบว่า มีการสั่งจ่ายเช็คเงินสดให้กับเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ราย พนักงานสอบสวนกองปราบฯ จึงได้เรียกตัวมาแจ้งข้อกล่าวหาเพื่อดำเนินคดี
ขณะนี้ นายสกุลธรยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ เจ้าตัวปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
2. คดีอาญาแม่ธนาธรและพวกรุกป่า
Top News ตรวจสอบไปยังนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยความคืบหน้า ดังนี้
คดีที่กรมป่าไม้ดำเนินการตรวจสอบดำเนินคดีกับนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ น.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กรณีถือครองที่ดินในเขตป่าสงวนป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี ตั้งแต่ปี’64
พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(บก.ปทส.) ได้ดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน และ มีความเห็นสั่งฟ้อง
ส่งให้อัยการจังหวัดราชบุรี ตรวจสอบสำนวน พบว่า คดีดังกล่าวมี 2 ประเด็นที่จะต้องพิจารณา จึงได้สั่งรวมเป็นสำนวนเดียวกัน และตั้งคณะทำงานขึ้นมาร่วมตรวจสำนวนและทำความเห็นในคดี และเสนอให้อธิบดีอัยการภาค 7 พิจารณาแล้ว
ขณะนี้ คดีอาญาฐานรุกป่า อยู่ในการพิจารณาชั้นอัยการ โดยอธิบดีอัยการภาค 7
คดียังไปไม่ถึงศาล จอดอยู่ในชั้นอัยการมาหลายเพลาแล้ว!!!
3. คดีธนาธรฟ้องศาลปกครอง ปมถูกเพิกถอนเอกสารสิทธิ
คดีนี้ เป็นคดีที่ฝ่ายนายธนาธรเป็นผู้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเอง
แต่ข่าวความคืบหน้าล่าสุด กลับกลายเป็นบูมเมอแรง ตอกย้ำปมเอกสารสิทธิรุกป่าเสียเอง!!!
เมื่อวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา องค์คณะตุลาการศาลปกครองกลางออกนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก ในคดีที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้ายื่นฟ้องกระทรวงมหาดไทย(มท.) กรมที่ดิน อธิบดีกรมที่ดิน และปลัดกระทรวงมหาดไทย
ขอให้เพิกถอนคำสั่งกรมที่ดินที่ 747/2565 ลงวันที่ 29 มี.ค. 2565 ที่เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 158-159 ต.ด่านทับตะโก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ของตน
ปรากฏว่า ตุลาการเจ้าของสำนวนได้สรุปประเด็นในคดี และให้ตุลาการผู้แถลงคดี ซึ่งเป็นตุลาการนอกองค์คณะแถลงความเห็นส่วนตนเพื่อประกอบการพิจารณาขององค์คณะให้คู่กรณีทราบ
โดยตุลาการผู้แถลงคดีเสนอความเห็นว่า ควรสั่งยกฟ้อง
เนื่องจาก ก่อนรองอธิบดีกรมที่ดิน จะมีคำสั่งเพิกถอน น.ส.3 ก จำนวน 59 ฉบับ ซึ่งรวมถึงน.ส.3 ก แปลงเลขที่ 158-159 ของนายธนาธร ได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ประกอบด้วยผู้เกี่ยวข้อง และผู้เชี่ยวชาญการตรวจสอบเป็นไปตามหลักวิชาการแล้ว พบว่า ตำแหน่งที่ดินตามหลักฐานน.ส.3 ก ทั้ง 59 ฉบับ รวมทั้งที่ดินที่พิพาทอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชีตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2512 ทั้งแปลง ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจึงมีสถานะเป็นป่าไม้ถาวรตามมติ ครม.มาก่อนที่จะออก น.ส.3 ก เลขที่ 158-159ให้กับ นายอุดม กิตติอุดมพานิช และ นายชัยณรงค์ บู่ศรี ที่เป็นเจ้าของที่ดินเดิมในปี 2521
เมื่อที่ดินทั้ง 2 แปลงตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร จึงเป็นที่ดินต้องห้ามมิให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์
คำสั่งของ รองอธิบดีกรมที่ดิน ที่เพิกถอนน.ส.3 ก แปลงที่พิพาทจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนที่เจ้าหน้าที่ที่ดินออก น.ส.3 ก ที่ดินทั้งสองแปลงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะถือเป็นการทำละเมิดต่อนายธนาธร ผู้ซื้อที่ดินที่เชื่อโดยสุจริตว่าที่ดินดังกล่าวมีการออก น.ส.3 ก โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่?
เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 อ้างว่า ตรวจสอบในสารบบที่ดิน น.ส.3 กเลขที่ 159 ผู้รับมอบอำนาจจาก บริษัท ไร่อ้อยมิตรผล ซึ่งเป็นผู้ขาย กับ นายสาโรจน์ วสุวานิช ผู้ซื้อต่างได้รับทราบว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อาจมีการเพิกถอนน.ส.3 ก ที่ดินบริเวณนี้ได้
โดยคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้รับทราบและลงชื่อในบันทึกถ้อยคำฉบับวันที่ 12 ก.ย. 2528 ไว้ และ นายธนาธรก็ไม่ได้โต้แย้งข้อมูลนี้ จึงฟังได้ว่า นายสาโรจน์ขณะซื้อที่ดิน น.ส.3 ก แปลงพิพาทจาก บริษัท ไร่อ้อยมิตรผล รู้อยู่แล้วว่า ที่ดินอยู่เขตป่าสงวนแห่งชาติ อาจถูกเพิกถอน น.ส.3 ก และตามหลักการซื้อที่ดินแปลงใกล้เคียงที่มีการออก น.ส.3 ก วิญญูชนย่อมรู้ว่ามีโอกาสที่ที่ดินจะถูกเพิกถอน
เมื่อนายสาโรจน์รู้ข้อมูลดังกล่าว แต่ยังซื้อที่ดิน เท่ากับนายสาโรจน์สมัครใจและยอมรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นเอง ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงไม่ถือว่า เป็นผลมาจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่
ต่อมา นายสาโรจน์ได้ขายที่ดินให้นายธนาธร แม้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายธนาธร รับรู้ว่าที่ดิน น.ส.3 ก ดังกล่าวอาจถูกเพิกถอนได้ แต่นายสาโรจน์ทำงานมีตำแหน่งบริหารในกลุ่ม บริษัท ไทยซัมมิท ของครอบครัวนายธนาธร ซึ่งโดยปกติวิสัยของพนักงานบริษัทต้องไม่หลอกลวง ปกปิดข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญ ที่จะทำให้เกิดความเสียหายจาการซื้อที่ดินดังกล่าวได้ ข้อเท็จจริงดังกล่าวทำให้ไม่น่าเชื่อว่า นายธนาธร จะซื้อที่ดินนี้มาโดยสุจริต
ดังนั้น การที่ รองอธิบดีกรมที่ดิน มีคำสั่งเพิกถอน น.ส.3 ก แปลงที่พิพาท จึงไม่ถือเป็นการละเมิดต่อ นายธนาธร และหน่วยงานรัฐต้องชดใช้ค่าเสียหายให้
ทั้งนี้หลังนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกแล้ว องค์คณะจะได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาคดี
โดยองค์คณะได้นัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ ในวันที่ 27 ก.ย. 2566เวลา 10.00 น.
4. นายธนาธร เคยรอดคดีในชั้นอัยการ หลายคดี อาทิ
คดี พ.ร.บ.คอมพ์ กรณี live โจมตีพลังดูดคสช. ปรากฏว่าอัยการสั่งไม่ฟ้อง
คดีผิดกฎหมายเลือกตั้งฯม. 151 ถือหุ้นสื่อมีลักษณะต้องห้าม แต่ยังไปสมัคร สส. ปรากฏว่า อัยการสั่งไม่ฟ้อง
คดีรุกป่าที่จังหวัดราชบุรี ถูกเพิกถอนเอกสารสิทธิแล้ว (ทั้งนายธนาธร แม่ และพี่สาว) แต่คดีอาญายังอยู่ในชั้นอัยการ
บางคดี อาทิ คดี ม.112 นายธนาธรกล่าวโจมตีให้ร้ายปมวัคซีนพระราชทานฯ ปรากฏว่า อัยการสั่งฟ้องนายธนาธร ขณะนี้ คดีอยู่ในชั้นศาล
ล่าสุด มีคดีที่ผ่านไปถึงชั้นศาลอีกคดี คือ คดีของนายสกุลธรน้องชายของนายธนาธร
น่าสนใจว่า คราวนี้ จะรอดหรือไม่?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี