ในที่สุด คดีของนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็มาถึงชั้นศาลยุติธรรม
1. ขอบคุณสถานีโทรทัศน์ช่อง Top News ที่นำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา
คดีนายสกุลธรใช้ให้สินบนเจ้าหน้าที่ 20 ล้าน หวังเช่าที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยไม่ต้องประมูล
เกาะติดรายงาน ติดตาม จนคดีที่ค้างคามาเนิ่นนาน เดินทางไปถึงชั้นศาล
ต่อไปนี้ ก็เป็นสิทธิและหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้อง นำเสนอข้อมูลหักล้างต่อสู้กัน จะผิด-ถูก ศาลยุติธรรมจะเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด
2. เมื่อวานนี้ (19 ก.ย. 2566) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง(ตลิ่งชัน) นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานบริหาร บริษัท เรียลแอสเสทดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด จำเลย (น้องชายของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ) พร้อมทนาย ได้เดินทางมาศาล เพื่อสอบคำให้การจำเลย
ภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนการ โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง นายสกุลธรได้ออกจากห้องบัลลังก์ และเดินกลับขึ้นรถออกจากศาลฯทันที โดยไม่ให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ใดๆ
3. นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดได้เปิดเผยกรณีดังกล่าวว่า นายสกุลธรได้ให้การปฏิเสธ
ข้อหา “เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่น ให้ขอให้ หรือรับว่าจะให้ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อจูงใจให้กระทำการ และประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่”
และ “เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่น ให้ขอให้ หรือรับว่าจะให้ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อจูงใจให้กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบ ด้วยหน้าที่ และได้กระทำไปในฐานะเป็นผู้แทนนิติบุคคล และเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคล”
ศาลนัดตรวจสอบพยานใหม่กับเจ้าพนักงานศาล ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2566 และนัดตรวจกับศาลฯ ในวันที่ 13 ธันวาคม 2566
4. คดีนี้ พนักงานอัยการปราบปรามการทุจริต 3 เป็นโจทก์ฟ้องนายสกุลธรต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ เมื่อวันที่ 31 ส.ค. ที่ผ่านมา
ผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี
โดยเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา นายสกุลธรได้เดินทางเข้าพบ นายรชต พนมวัน อัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต ภาค 3 เจ้าของสำนวน
5. ถึงขณะนี้ ต้องถือว่านายสกุลธรยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ยังไม่มีคำตัดสินว่ามีความผิดตามข้อกล่าวหา
หากจำได้ เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2564 นายสกุลธรเดินทางเข้าพบตำรวจกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ตามหมายเรียกเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา
หลังเสร็จสิ้นการเข้ารับทราบข้อกล่าวหา และให้ปากคำ นายสกุลธรเปิดเผยกับสื่อมวลชนสั้นๆ ว่า ไม่มีอะไรที่จะชี้แจงถึงเรื่องนี้เป็นพิเศษ และคิดว่าได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องคือ การช่วยเหลือราชการ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ 2 คนที่ถูกศาลตัดสินคดีไปก่อนหน้านี้ ส่วนจุดประสงค์ของการซื้อที่ดินดังกล่าวคืออะไร และเหตุใดจึงไม่แจ้งความกลับนั้น ในส่วนนี้ได้ชี้แจงพนักงานสอบสวนไปแล้ว ซึ่งเป็นรายละเอียดในสำนวน ไม่ขอเปิดเผย
6. คดีนี้ ไม่ใช่การรื้อคดีขึ้นใหม่ ไม่ใช่การกลั่นแกล้งเล่นงาน เหมือนที่มีบางฝ่ายพยายามจะปั่นกระแสดิสเครดิตกระบวนการยุติธรรม
ความจริง คดีนี้มีการสอบสวนอยู่ตั้งแต่ต้น ไม่เคยมีคำสั่งไม่ฟ้อง
โดยการติดสินบนเจ้าหน้าที่ สนง.ทรัพย์สินฯ นั้น กองปราบฯได้แยกดำเนินคดีเป็นสองคดีมาตั้งแต่ต้น
แบ่งเป็น 1. คดีผู้ให้สินบน กับ 2. คดีตัวกลางเรียกรับสินบน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ส่งสำนวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาสองคนที่เป็นตัวกลางในคดีเรียกรับสินบนไปก่อนแล้ว ส่วนคดีผู้ให้สินบนที่มีการพาดพิงถึงนายสกุลธรนั้น ก่อนหน้านี้มีการรวบรวมพยานหลักฐาน ตรวจสอบเส้นทางการเงิน และสอบปากคำพยานบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ยังไม่ได้มีการส่งสำนวนให้กับทางอัยการพิจารณาแต่อย่างใด
พอเป็นข่าว สังคมสนใจ มีสื่ออย่างท็อปนิวส์ติดตามเกาะติด คดีจึงได้คืบหน้า
และจะเห็นว่าพอคดีถึงอัยการและศาล นายสกุลธรก็ได้รับความยุติธรรม โดยไม่โดนข้อหา “ให้สินบนฯ” แต่โดนในฐานะ “ใช้ให้สินบนฯ”
7. นายวัชระ เพชรทอง อดีตสส. พรรคประชาธิปัตย์ เคยแถลงข่าวให้ข้อมูลว่า ตนได้เข้าให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎร
ระบุถึงเช็คที่มีการสั่งจ่ายให้จำเลยในคดีรับสินบน ได้แก่
เช็คใบแรก ลงวันที่ 6 มี.ค. 2560 สั่งจ่ายในนามบริษัท จากธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเพชรบุรีตัดใหม่ เลขที่ 04-3304-4665 สั่งจ่ายไปถึงนายสุรกิจตั้งวิทูวนิช จำเลยในคดี จำนวน 5 ล้านบาท
เช็คใบที่สอง เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2560 จากธนาคารกรุงเทพ ในนามนายสกุลธรจำนวน 5 ล้านบาท ไปถึงจำเลย
และเช็คใบที่สาม สั่งจ่ายในนามนายสกุลธร จากธนาคารกรุงเทพ เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2560 จำนวน 10 ล้านบาท ถึงจำเลยในคดี
รวมเช็ค 3 ฉบับ จำนวนเงิน 20 ล้านบาท
น่าสนใจว่า ที่ผ่านมา ทำไมนายสกุลธรและคนในครอบครัวที่เป็นเจ้าของ และบางคนเป็นกรรมการบริษัทในขณะนั้น ไม่เคยนำเสนอข้อมูลหลักฐานที่อยู่ในความครอบครองของตนเอง ออกมาชี้แจงต่อสาธารณชนให้กระจ่างชัด
8. ในคำพิพากษาคดีเรียกรับสินบน ที่มีอดีตเจ้าหน้าที่ สนง.ทรัพย์สินและนายหน้า ติดคุกไปแล้วนั้น ระบุถึงนายสกุลธรบางตอน ระบุว่า
“... ได้จ่ายเงินงวดที่สอง จำนวน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) และงวดที่สามอีกจำนวน 10,000,000 บาท (สิบล้านบาทถ้วน) รวม 3 งวดจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) ให้แก่จำเลยทั้งสองรับไว้สำหรับตนเองเพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จำเลยทั้งสองจะร่วมกันไปดำเนินการติดต่อประสานงานและนำเงินส่วนหนึ่งไปมอบให้รอง ผอ.สำนักงานทรัพย์สินฯ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าพนักงานของรัฐตามกฎหมายโดยวิธีอันทุจริตและผิดกฎหมาย เพื่อจูงใจรอง ผอ.ฯ ให้กระทำการในหน้าที่ด้วยการจัดสรรที่ดินบริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม) ซึ่งเป็นทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ให้บริษัท เรียลแอสเสทดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ได้สิทธิการเช่าที่ดินระยะยาว โดยไม่ต้องผ่านการประมูลแข่งขันตามขั้นตอนปกติของการขอเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ อันเป็นคุณแก่ บริษัทฯ และทำให้สำนักงานทรัพย์สินฯ เสียประโยชน์ที่จะได้รับเงินจากการประมูลที่สูงที่สุด ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่สำนักงานทรัพย์สินฯผู้อื่นและประชาชน...”
9. คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตผู้พิพากษา (มือดีที่ช่วยให้ประเทศไทยชนะคดีโฮปเวลล์) เคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า
“....ถ้าดูในคำพิพากษา มีการเอ่ยชื่อของคนที่กำลังเป็นข่าว ว่าคนนี้ เป็นคนที่ตกลงให้สองคนเป็นคนเรียกหรือรับจากคนคนนี้ (เรียกสินบนหรือรับสินบนจากคนคนนี้) เพื่อจะไปกระทำผิด”
คุณพีระพันธุ์ บอกว่า “ประเด็นนี้ต่างหากที่ศาลลงโทษ.. ที่ศาลลงโทษ เพราะว่ามีคนคนหนึ่งเป็นคนให้ ถึงทำให้องค์ประกอบความผิดของคนสองคนสมบูรณ์ ที่ทำให้ศาลลงโทษได้”
คุณพีระพันธุ์ตั้งคำถามชวนคิดว่า ถ้าสองคนนี้ไม่ได้รับผลประโยชน์ (คือจำเลยที่ติดคุกไปแล้ว) สองคนนี้จะไปกระทำความผิดไหม ?
คุณพีระพันธุ์ชี้ว่า ถ้าดูจากคำพิพากษาว่ามีการรับเงินมาเพื่อตัวเองจะได้ไปทำงาน เอาเงินไปเจรจากับผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานฯ เพื่อจะได้กระทำความผิด เพราะฉะนั้น แสดงว่าต้องมีการก่อให้กระทำความผิดเกิดขึ้น ตรงนี้ล่ะเป็นความผิด ฐานเป็นผู้ใช้
สุดท้าย...
เมื่อคดีไปถึงศาลแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้อง จะต้องพิสูจน์ตัวเองตามกฎหมายต่อไป
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี