หลังจากศาลฎีกาพิพากษา คดีน.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีต สส.พรรคอนาคตใหม่ ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯ
โพสต์ข้อความพาดพิงสถาบันฯ มิบังควร
ศาลฎีกาชี้ว่า น.ส.พรรณิการ์ หรือ ช่อ ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงตามกฎหมายให้ถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดไป ไม่มีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (แต่ยังใช้สิทธิเลือกตั้งได้)
ปรากฏว่า สส.พรรคก้าวไกล ได้ออกมาโจมตีศาลฎีกา
1. รังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โจมตีศาลฎีกา
ระบุว่า นี่คือโทษประหารชีวิตทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะรับได้ ผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้น หากมีการตัดสินว่ามีพฤติกรรมบางอย่างผิดประมวลกฎหมายอาญาแล้วมาดำเนินคดีจริยธรรมต่อ ก็ยังพอเข้าใจได้ แต่กรณีนี้กลับไม่มีข้อเท็จจริงเหล่านั้นเลย
“อะไรคือความเป็นธรรม หรือสุดท้ายเป็นเพราะพรรคก้าวไกล เป็นเพราะคุณช่อเป็นอดีตพรรคอนาคตใหม่ เลยอาจทำให้มีการดำเนินการที่รุนแรงขนาดนี้
...ประทานโทษนะ พวกผมล้มเจ้าได้จริงๆ หรือ ทำไม่ได้หรอก ดังนั้น สิ่งที่พวกคุณกังวลหรือกลัวมันไม่มีทางเกิดขึ้น และข้อโจมตีต่างๆ ผมว่าไม่เป็นธรรม
ดังนั้น ผมว่าองค์กรอย่างศาลผมอยากให้ตั้งมั่นในความยุติธรรมจริงๆ สำหรับใครหลายคน เอาเขาไปขัง ยังรุนแรงน้อยกว่าตัดสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดชีวิตด้วยซ้ำไป” - รังสิมันต์กล่าว
2. ด้านนายปิยรัฐ หรือโตโต้ สส. กทม. ระบุว่า เป็นปัญหาของรัฐธรรมนูญที่มีการใช้นิติสงครามเพื่อดำเนินการกับนักการเมือง
“...ต้องตั้งคำถามต่อองค์กรอิสระด้วยว่า ในอดีตก่อนดำรงตำแหน่ง ท่านเคยผิดจริยธรรมหรือไม่ เพราะกรณีพรรณิการ์เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนดำรงตำแหน่งทางการเมือง
...นี่ไม่ใช่รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง แต่เป็นรัฐธรรมนูญที่เปิดโอกาสให้มีการใช้เครื่องมือกลั่นแกล้งทางการเมือง ปราบนักการเมืองที่ไม่ยอมจำนนให้สยบอยู่ใต้กฎหมายนี้” -นายปิยรัฐกล่าว
3. น่าเวทนาคุณภาพความคิด สส.ก้าวไกล
ความเห็นของ สส.ก้าวไกล ที่ออกมาโจมตีศาลฎีกา โจมตีรัฐธรรมนูญข้างต้นนั้น
ตอกย้ำถึงคุณภาพความคิดของ สส.นั้นๆ เอง ว่าคิดเอาแต่พวกพ้องตัวเองเป็นสำคัญ
บิดเบือนโจมตีศาล และกล่าวโทษรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่ พรรคพวกของตัวเองเป็นฝ่ายไปกระทำการฝ่าฝืนกฎกติกาที่มีอยู่แล้ว (ก่อนหน้านี้ มี สส.พรรคอื่นถูกศาลฎีกาตัดสินด้วยกฎหมายเดียวกันมาแล้ว)
สักแต่ว่า เป็น สส. มีสิทธิพื้นที่แถลงข่าวสภา แล้วก็พ่นคำพูดวาทกรรมประดิษฐ์ เรียกคะแนนสงสาร กล่าวให้ร้ายศาลและรัฐธรรมนูญอย่างไม่เป็นธรรม
3.1 การอ้างทำนองว่าเป็น “นิติสงคราม” ก็คือการจำขี้ปากนายปิยบุตรมาพ่นต่อ
เวลาคดีที่พวกตัวเองชนะก็ยอมรับ หรือแม้แต่พวกตัวเองก็เคยร้องเล่นงานคนอื่นก็มี
3.2 การอ้างว่า หากมีการตัดสินว่ามีพฤติกรรมบางอย่างผิดประมวลกฎหมายอาญาแล้วมาดำเนินคดีจริยธรรมต่อ ก็ยังพอเข้าใจได้
นี่คือความมั่วซั่วที่สุด
เพราะคดีมาตรฐานทางจริยธรรม ไม่ใช่ว่าผิดอาญาแล้วถึงจะมาร้องจริยธรรม
บางอย่างผิดจริยธรรม แต่อาจไม่ผิดทางอาญาเพราะจะต้องมีองค์ประกอบความผิดทางกฎหมายต่างกันออกไป ก็มี
เหลือเชื่อที่สังคมได้คนอย่างนี้ เข้ามาเป็น สส. ทำให้สังคมสับสันอลหม่าน ประดิษฐ์ถ้อยคำวาทกรรมมั่วซั่วโดยปราศจากความรู้จริง
3.3 การอ้างว่า กรณีช่อเป็นการกระทำในอดีต นำมากลั่นแกล้งเล่นงานย้อนหลัง ยิ่งสะท้อนชัดเจนว่า ไม่ได้อ่าน หรือทำความเข้าใจคำพิพากษาศาลฎีกาเลย
ในคำพิพากษาศาลฎีการะบุชัดว่า การที่ช่อโพสต์ไว้ก่อน แล้วเมื่อเป็น สส. ไม่ยอมลบโพสต์ ให้คนทั่วไปเข้าถึงได้ ยังเผยแพร่ต่อ
โดยที่โพสต์นั้นมีเนื้อหา “เป็นการแสดงออกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในทางที่ไม่เหมาะสมหรือมิบังควรอย่างยิ่ง”
นั่นจึงเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง
ไม่ใช่ว่าหลงลืมว่าโพสต์อะไรไว้แล้วไม่ลบ
ไม่ใช่ว่าโพสต์เล่นๆ ขำๆ เรื่องไม่เป็นเรื่อง หรือเรื่องทำงานช่วยชาวบ้าน
แต่เป็นการโพสต์กระทบสถาบัน ในระดับ “มิบังควรอย่างยิ่ง” แล้วยังไม่ยอมลบตลอดช่วงที่ยังเป็น สส. แถมยังเคลื่อนไหวในทิศทางสนับสนุนแนวคิดและทัศนคติดังกล่าวมาโดยตลอดอีกด้วย
4. คำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ คมจ.1/2565 หมายเลขแดงที่ คมจ. 5/2566
ระหว่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้ร้อง
นางสาวพรรณิการ์ วานิช ผู้คัดค้าน
เนื้อหาตามเอกสารข่าวนั้น สรุปประเด็นสาระสำคัญไว้เพียงพอ ไม่ควรที่ สส.พรรคก้าวไกลจะนำมาบิดเบือนให้ร้าย สร้างความสับสน
ประเด็นสำคัญ ระบุดังนี้
...ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้คัดค้านโพสต์ภาพถ่ายและข้อความตามคำร้องข้อ 4.1 (1) ถึง(6) ในลักษณะเป็นการกระทำอันมิบังควรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ลงในเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ชื่อบัญชี “Pannika Chor Wanich” ของผู้คัดค้าน
ต่อมา ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ภาพถ่ายและข้อความดังกล่าวยังคงปรากฏอยู่ในบัญชีการใช้งานเฟซบุ๊กของผู้คัดค้านในลักษณะเป็นสาธารณะ บุคคลทั่วไปสามารถเข้าไปดูได้อย่างต่อเนื่อง โดยผู้คัดค้านมิได้กระทำการใดๆ หรือลบภาพและข้อความดังกล่าวออกจากบัญชีเฟซบุ๊กของผู้คัดค้าน เป็นการแสดงออกถึงการไม่เคารพและเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นการไม่ยึดมั่นและธำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นการไม่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์
....
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า การกระทำของผู้คัดค้านเกิดขึ้นก่อนที่จะมีบทกฎหมายและมาตรฐานทางจริยธรรม จึงไม่อาจใช้บังคับย้อนหลังเอากับผู้คัดค้านได้ และบทกฎหมายดังกล่าวมุ่งหมายใช้บังคับแก่บุคคลที่ยังดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะถูกร้องและดำเนินคดี แต่ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว
...
ศาลฎีกาพิพากษาว่า
“ผู้ร้องได้รับคำร้องของสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ฉบับลงวันที่ 11 มิถุนายน 2562 กล่าวหาว่าผู้คัดค้านขณะดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งขณะนั้นมีผลใช้บังคับแล้วไว้พิจารณา ซึ่งขณะนั้นผู้คัดค้านยังดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
แม้ต่อมาผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งแล้ว ผู้ร้องยังคงมีอำนาจไต่สวนและยื่นคำร้องคดีนี้ได้
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 234 (1) มาตรา 235 วรรคหนึ่ง (1) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 87 ประกอบมาตรา 55 (3)
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 2 บัญญัติว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
มาตรา 6 บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้”
และหมวด 4 หน้าที่ของปวงชนชาวไทย มาตรา 50 บัญญัติว่า “บุคคลมีหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข...”
ผู้คัดค้านมีเชื้อชาติและสัญชาติไทย นอกจากมีหน้าที่ตามมาตรา 50 (1) อันเป็นหน้าที่ของปวงชนชาวไทยแล้ว ผู้คัดค้านในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังต้องยึดถือปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมเพื่อรักษาเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง และความเชื่อถือศรัทธาของประชาชน ย่อมต้องระมัดระวังในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ มิให้มีภาพถ่ายหรือข้อความพาดพิงหรือแสดงออกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในทางที่ไม่เหมาะสมหรือมิบังควร เนื่องจากพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ เป็นมิ่งขวัญและศูนย์รวมความสามัคคีของปวงชนชาวไทย โดยกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ว่า “ในหลวง” “พ่อหลวง” หรือ “พ่อของแผ่นดิน” เป็นที่เคารพสักการะของปวงชนชาวไทย ปวงชนชาวไทยมีความรักและความภาคภูมิใจในองค์พระมหากษัตริย์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดมา
เมื่อพิจารณาการกระทำของผู้คัดค้านตามคำร้อง ซึ่งกระทำอย่างต่อเนื่องกันมา จึงต้องนำการกระทำของผู้คัดค้านทั้งหกกรณีมาพิเคราะห์ร่วมกัน เพื่อหยั่งทราบเจตนาของผู้คัดค้านว่ามุ่งประสงค์อย่างไร
การกระทำของผู้คัดค้านตามคำร้อง ข้อ 4.1 (1) ถึง 4.1 (4) และ 4.1 (6) ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าผู้คัดค้านมีเจตนาพาดพิงถึงในหลวงรัชกาลที่ 9
ส่วนการกระทำตามคำร้อง ข้อ 4.1 (5) เป็นการลงข้อความพาดพิงถึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ (พระนามในขณะนั้น)
อันเป็นการแสดงออกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในทางที่ไม่เหมาะสมหรือมิบังควรอย่างยิ่ง เป็นการไม่เคารพในหน้าที่ของปวงชนชาวไทยที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์
แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของผู้คัดค้านที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ก่อนดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเมื่อผู้คัดค้านดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับมาตรฐานทางจริยธรรมฯ หมวด 1 มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ ข้อ 6 ที่กำหนดให้ผู้คัดค้านต้องพิทักษ์รักษาไว้
ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์
ซึ่งการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริธรรมอย่างร้ายแรง นอกจากการกระทำโดยตรงแล้ว ยังหมายรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใด โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย
เมื่อผู้คัดค้านยังคงปล่อยให้ภาพถ่ายและข้อความดังกล่าวปรากฏอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์บัญชีการใช้งานเฟซบุ๊กของผู้คัดค้านในลักษณะเป็นสาธารณะบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ พฤติการณ์ของผู้คัดค้านเป็นการแสดงออกถึงการไม่เคารพและเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา 6 มาตรา 50 (1) และมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 6
การที่ผู้คัดค้านไม่ลบหรือนำภาพถ่ายและข้อความดังกล่าวทั้งหมดออกจากระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งที่สามารถกระทำได้ เพื่อไม่ให้ปรากฏอยู่และเพื่อไม่ให้บุคคลใดสามารถเข้าถึงภาพถ่ายและข้อความทั้งหกกรณีดังกล่าว ซึ่งถือเป็นการงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย
การกระทำของผู้คัดค้าน จึงเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 235 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 87 และมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 6 ประกอบ ข้อ 29 วรรคหนึ่ง
ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านตลอดไป
รวมถึงไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 235 วรรคสามและวรรคสี่
แต่ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการไม่ยึดมั่นและธำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 5 จึงยังไม่เห็นสมควรเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน”
....
สุดท้าย.. สส.พรรคก้าวไกลที่เคยจาบจ้วงสถาบันทั้งกลาย อย่าเพิ่งฟูมฟาย
ใครทำอะไรไว้ จะได้รับผลกรรมจากการกระทำอย่างแน่นอน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี