มีคำถามว่า คนไทยทุกคน ตามคำจำกัดความของพรรคเพื่อไทย จำเป็นต้องได้เงิน 1 หมื่นบาท ผ่าน digital wallet หรือ
คนไทยทุกคนยินดีได้รับเงินที่จะสร้างภาระหนี้สินมหาศาลให้กับประเทศ และให้กับลูกหลานของเราในอนาคตหรือ เราทุกคนต้องการสร้างภาระหนึ้สินให้ประเทศ และให้ลูกหลานของเรา จริงๆ หรือ
เราจะปล่อยให้รัฐบาลใช้ประชาชนเป็นตัวประกันในการสร้างภาระหนี้สินให้ประเทศโดยผ่านนโยบายประชานิยม กระนั้นหรือ
เราไม่คัดค้านการที่รัฐบาลต้องให้ความช่วยเหลือประชาชนกลุ่มที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือโดยด่วน เพื่อให้ประชาชนกลุ่มดังกล่าวสามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ แต่เราคัดค้านการหว่านแจกเงินให้กับคนทั่วไป โดยไม่ได้ดูความจำเป็น และความเหมาะสมตามระดับเศรษฐสถานะของบุคคล
หากรัฐบาลบอกให้บริษัทเอกชนแจกบ้าน หรือคอนโดมิเนียมของโครงการแสนสิริ หรือ SC Asset โดยใช้เงินจากบริษัทเอกชนทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ในการนี้ รับรองว่าจะไม่มีประชาชนรายใดคัดค้าน เพราะมันเป็นการใช้เงินของเอกชน แต่ก็ต้องบอกว่าไม่มีวันเกิดเรื่องดังกล่าวได้จริง เพราะเอกชนไทยไม่เคยยอมเสียอะไรไปฟรีๆ หากไม่ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า หรือเกินคุ้ม
ถามอีกครั้งว่า เวลารัฐบาลจะสร้างหนี้สินให้กับประเทศชาติ รัฐบาลเคยคิดบ้างไหมว่า สร้างหนี้แล้ว มีปัญญาชดใช้หนี้ที่สร้างขึ้นหรือไม่ หรือคิดอย่างเดียวว่า มีหน้าที่
สร้างภาระหนี้สินให้ประเทศชาติ แต่ไม่นำพาเรื่องว่ามีปัญญาใช้หนี้สินหรือไม่
รัฐบาลสำเหนียกบ้างไหมว่า การวางนโยบายสาธารณะที่ผิดพลาด ทำให้ประเทศชาติตกอยู่ในภาวะวิกฤต ทำให้ประชาชนเดือดร้อนแสนสาหัส เพราะเกิดปัญหาวิกฤตการคลัง
คำถามต่อมาคือรัฐบาลจะเอาปัญญาจากไหนไปหาเงิน 5.6 แสนล้านบาทมาเพื่อหว่านลงไปในนโยบายแจกเงิน 1 หมื่นบาท รับรองว่ารัฐบาลไม่มีปัญญาหาเงินได้โดยไม่สร้างภาระหนี้สินให้ประเทศ
แล้วเรื่องที่รัฐบาลฝันว่าเงินก้อนดังกล่าวข้างต้นจะช่วยหมุนระบบเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างน่าอัศจรรย์ใจ คือจะเกิดตัวคูณทางเศรษฐกิจ 6 เท่า ทำให้มีเงินในระบบ 3 ล้านล้านบาท ช่วยทำให้ GDP เติบโตในระดับ 5 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงปี 2567-2570 มีคำถามว่า เรื่องนี้จะเป็นจริงได้หรือ เพราะดูแล้วเป็นความฝันมากกว่าความจริง
ปัญหาที่จะตามมาแน่ๆ คือ การไร้วินัยการคลัง แล้วจะสร้างปัญหาการคลังอย่างหนัก เพราะนโยบายเพ้อฝันดังกล่าวข้างต้น
ตามหลักการ fiscal multiplier ไม่เคยมีการยืนยันว่าการที่รัฐบาลจ่ายเงินให้ประชาชนไปแล้ว จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นจริงในทุกกรณีโดยเฉพาะกรณีที่เล็งผลเลิศเกินจริงซึ่งไม่เคยปรากฏให้เห็นมาก่อน
สำหรับคนที่เข้าใจหลักเศรษฐศาสตร์ตามแบบของสำนัก Keynesian (่John Maynard Keynes) ย่อมน่าจะต้องเข้าใจเรื่อง Marginal Propensity to Consume (MPC) หรือสัดส่วนของเงินโดยเฉลี่ยที่คนจะนำเงินที่ได้รับไปใช้เพิ่มขึ้นเพื่อการบริโภค โดยเชื่อว่าจะใช้การคำนวณ fiscal multiplier แบบวนกันไปกันมาหลาย ๆ รอบ ยกตัวอย่างเช่น ได้เงินเพิ่มมา 10 บาท เขาคนนั้นอาจจะใช้จ่ายเงินเพิ่มอีก 5 บาทเท่านั้น ไม่ได้ใช้หมดทั้ง 10 บาท ในกรณีนี้ก็จะทำให้ fiscal multiplier เท่ากับ 2 เพียงเท่านั้น แล้วต้องไม่ลืมว่าคนทุกคนที่ได้เงินเพิ่ม เขาไม่ได้ใช้เงินที่ได้มาทั้งหมด แต่เขาอาจจะเก็บไว้ส่วนหนึ่ง หรือบางคนอาจจะใช้เงินที่ได้เพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพราะต้องการเก็บเงินไว้ เนื่องจากไม่มั่นใจในระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และไม่มีใครยืนยันได้ว่า การแจกเงินแล้วจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น หรือทำให้รายได้ของประเทศเพิ่มมากขึ้นตามการใช้จ่ายในแต่ละรอบ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องสำเหนียกไว้ด้วย และไม่ควรหวังผลเลิศว่าจะประสบความสำเร็จในทุกกรณี โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกไม่สดใส
ประชาชนที่มีความฉลาดย่อมรู้ดีว่า เงินที่รัฐบาลนำมาหว่านแจกให้นั้น ไม่ใช่ของฟรี แต่มันคือสิ่งที่จะเป็นภาระต่อประชาชนในวันข้างหน้า ดังนั้นผู้ที่ฉลาดจึงไม่ประสงค์จะทำร้ายตัวเอง และทำร้ายประเทศชาติด้วยการรับเงินที่รัฐบาลหว่านให้ เพราะรัฐบาลหวังคะแนนนิยมทางการเมือง มากกว่าคำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดกับประเทศชาติตามมาในวันข้างหน้า
เรื่องง่ายที่สุดที่เข้าใจได้คือ ของฟรีไม่มีบนโลกใบนี้ รัฐบาลก็ไม่มีปัญญาแจกของฟรีให้ประชาชน เพราะมันคือรายจ่ายของแผ่นดิน เมื่อแผ่นดินมีรายจ่าย ก็หมายความว่าประชาชนต้องรับภาระรายจ่ายของแผ่นดิน นั่นคือต้องเสียภาษีมากขึ้นในอนาคต เพราะฉะนั้น ต่อให้ได้รับเงินไป ก็ไม่นำเงินออกไปใช้ แต่จะเก็บเงินไว้ เพราะรู้ว่าต้องเสียภาษีเพิ่มในอนาคต หากเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ เพราะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง แต่ประเทศก็เกิดภาระหนี้สินไปเรียบร้อยแล้ว
แล้วประเด็นสำคัญอีกเรื่องที่ต้องคิดให้หนักคือ การจ่ายเงิน 1 หมื่นบาทให้ประชาชน อาจจะส่งผลให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นไปโดยปริยาย เพราะเป็นไปตามหลัก Ricardian Equivalance โดยระบบเศรษฐกิจถูกจำกัดด้วย supply มากกว่า demand ซึ่งตามหลักการนี้ไม่ได้ช่วยเพิ่ม GDP แต่อย่างใด เพราะราคาสินค้าจะแพงมากกว่าเดิม ทำให้การซื้อสินค้าก็ไม่ได้เพิ่มมากขึ้น แล้วการก่อหนี้ของรัฐบาลด้วยรูปแบบนี้ทำให้ต้นทุนด้านดอกเบี้ยในการกู้ยืมเงินเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และทำให้เกิดปัญหาการกู้ยืมโดยภาคเอกชน เพราะเมื่อรัฐบาลกู้เงินมากขึ้น ดอกเบี้ยก็จะสูงขึ้น ดังนั้นเมื่อเอกชนจะต้องกู้เงินบ้าง ก็ต้องมีภาระดอกเบี้ยแพงมากขึ้นตามมาโดยปริยาย
มีคำถามว่า ทำไมรัฐบาลไม่นำเงิน 5.6 แสนล้านบาทไปทำโครงการที่ช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้มากกว่าการหว่านแจกเงินแบบเบี้ยหัวแตก (แต่ก็เข้าใจว่ารัฐบาลได้โฆษณาชวนเชื่อไปแล้วว่าจะแจกเงินหัวละ 1 หมื่นบาท)
อันที่จริง รัฐบาลน่าจะมีปัญญาคิดได้ดีกว่าแจกเงินหัวละ 1 หมื่นบาท โดยเอาเงินจำนวนทั้งหมดที่จะถลุงไปโดยเปล่าประโยชน์ ไปใช้สร้างโครงการสาธารณูปโภคที่เป็นประโยชน์กับสาธารณชนมากกว่า และยั่งยืนกว่าการหว่านแจกเงินหัวละ 1 หมื่นบาท
หากรัฐบาลคิดอะไรไม่ออกจริง ก็ควรจะนำเงินก้อนนี้ไปสร้างโรงพยาบาลสำหรับรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับประชาชน หรือสร้างบ้านพักสำหรับรองรับคนชราที่จำเป็นต้องหาที่อยู่ ในยามที่ตัวเองเข้าสู่วัยชรา ที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลเรื่องสุขภาพ และความเป็นอยู่แบบพิเศษมากกว่าการดำรงชีวิตในช่วงก่อนวัยชรา
รัฐบาลน่าจะมีข้อมูลอยู่แล้วว่าการหว่านเงินแบบเบี้ยหัวแตกไม่ได้ก่อให้เกิด fiscal multiplier ดีมากไปกว่าการลงทุนโดยรัฐในการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคที่จำเป็นสำหรับคนหมู่มาก
หากรัฐบาลกลัวจะเสียคำพูด ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องกลัว เพราะเสียคำพูดไปหลายเรื่องแล้ว รัฐบาลต้องทบทวนเรื่องการหว่านแจกเงินโดยทันที แล้วนำเงินก้อนนี้ไปสร้างความเจริญให้ประเทศอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่าการหว่านแจกเงิน เพราะในเมื่อรัฐบาลต้องสร้างหนี้สินให้ประเทศแล้ว รัฐบาลก็ต้องคิดให้รอบคอบว่าประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรที่เป็นรูปธรรมจากการก่อหนี้โดยรัฐบาล ขอย้ำว่าประชาชนจำนวนไม่น้อยไม่ต้องการร่วมก่อหนี้สินให้กับประเทศ และประชาชนที่มีปัญญาไม่ได้คัดค้านการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างแท้จริง แต่การหว่านแจกเงินแบบไร้ตรรกะ คือการทำลายประเทศ ทำร้ายประชาชน
เรามาร่วมกลุ่ม “ไม่ทำร้ายประเทศชาติด้วยการสร้างหนี้”ดีไหม เราประกาศให้ชัดไปเลยว่า ไม่ต้องการเงิน 1 หมื่นบาทต่อหัว ขอให้รัฐบาลนำเงินนี้ไปสร้างระบบสาธารณูปโภคที่จำเป็นให้ประเทศชาติดีกว่าอย่านำเงินงบประมาณของแผ่นดินไปละลายน้ำแล้วเททิ้ง เพราะมันคือการทำลายประเทศ สร้างภาระให้ประชาชน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี