“เผาหัว” ชื่อเพจเฟซบุ๊กที่น่าติดตามเพจหนึ่ง ด้วยความแหลมคมและอารมณ์ขันที่สื่อสารผ่าน “การ์ตูน” และ “รูปภาพ”
ล่าสุด เพจ “เผาหัว” วาดรูปคนคนหนึ่งรดน้ำต้นไม้ต้นเล็กๆ พร้อมกับท่องคาถาว่า
“จงเป็นปีศาจที่กาลเวลาได้สร้างขึ้น มาหลอกหลอนคนที่อยู่ในโลกเก่า ความคิดเก่า ทำให้เกิดความละเมอ หวาดกลัว”
จากนั้น การ์ตูนอีกช่องหนึ่งก็เป็นภาพ “ปีศาจต้นส้มและลูกส้ม” หันมาหลอกหลอนคนผู้นั้น ที่เดินหนีและพูดว่า“เบื่อด้อมส้มที่มาถล่ม”
“เผาหัว” น่าจะได้รับ “รากคิด” ของการ์ตูนชุดนี้จากเหตุการณ์ของชายผู้หนึ่ง ที่ “รำพึงดังๆ” หวังให้เกิด “กระแส” อะไรบางอย่างว่า “ผมอยู่ในสภาวะ “กลับไม่ได้ไปไม่ถึง” มาหลายปีแล้ว คิดว่า ควรต้องตัดสินใจเด็ดขาดเสียที”
ใช่ครับ, ชายคนนั้นชื่อ “นายปิยบุตร แสงกนกกุล”คนนอกก็ไม่ใช่ คนในก็ไม่เชิง ของ “ด้อมส้ม”
1) หลังปล่อยคลิป “รำพันตัดพ้อ” ที่ถูกด้อมส้มถล่มเละ ไม่นับเอฟซีเพื่อไทย และสลิ่ม ที่ก็ต่อต้านปิยบุตรมานาน ปิยบุตรก็เดินหน้าปฏิบัติการ “โดดเดี่ยวผู้ทระนง” ต่อ ด้วยการโพสต์เฟซบุ๊ก
“แนวหน้าออนไลน์” รายงานว่า นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตรแสงกนกกุล ประกาศแยกทางกับพรรคก้าวไกลแล้วโดยมีรายละเอียดดังนี้
เมื่อไรก็ตามที่ผมออกมาวิจารณ์หรือเสนอแนะพรรคก้าวไกลหรือ สส.พรรคก้าวไกล มักจะมีความเห็นตอบโต้ผมทำนองว่า…
...ทำไมไม่พูดกันภายใน ทำไมไม่ส่งไลน์กลุ่มหากัน มาพูดข้างนอกแบบนี้ พรรคโดนโจมตีหมด
...ทำไมไม่รู้จักระมัดระวัง เดี๋ยวจะโดนเล่นงานข้อหาครอบงำพรรค
...นี่ไง ผู้บงการพรรคตัวจริงมาแล้ว
...ตกลงปิยบุตรมันหวังดีกับพรรคหรือเปล่า?มันทะเลาะอะไรกันอีกนะ?
ผมเองเป็น “คนนอก” ของพรรคก้าวไกลทั้งตามความเป็นจริงและตามข้อห้ามทางกฎหมาย
บางครั้ง พรรคก้าวไกลตั้งไปเป็นผู้ช่วยหาเสียงบ้าง เชิญไปเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษบ้าง หรือมีโอกาสได้กินข้าวพูดคุยกับ สส.อยู่บ้าง แต่ผมเองก็ไม่มีอำนาจไปบังคับสั่งการพรรค และหากพรรคไม่เชิญไปบรรยายเป็นครั้งคราว ก็ไม่มีโอกาสได้สื่อสารใดๆ กับ สส.หรือสมาชิกพรรค
วิธีการเดียวที่ผมมีอยู่และพอจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคที่ผมเอาใจช่วย ก็คือ สื่อสารตรงไปตรงมาในที่สาธารณะ เพราะอย่างน้อยก็รับประกันได้ว่า ความเห็นของผมทั้งหมดจะไปถึงสมาชิกพรรคทุกคนที่ได้เข้ามาอ่าน ไปถึง สส.ที่ได้เข้ามาอ่าน และไปถึงประชาชนที่เลือกหรือสนับสนุนพรรคก้าวไกลทุกคน
หากผมนำความเห็นไปบอกกับแกนนำบางคนหรือ สส.บางคน เราก็ไม่อาจทราบได้ว่า ความเห็นเหล่านั้น จะถูกส่งต่อให้พรรค หรือ สส. หรือสมาชิกพรรค หรือไม่
การแสดงความเห็นของผมถึงพรรคก้าวไกลไม่เข้าข่ายครอบงำพรรค กกต.เคยยกคำร้องมาแล้วในหลายกรณี และผมเองก็ไปสั่งพรรคไม่ได้ เขาจะทำไม่ทำ ก็เป็นเรื่องของพวกเขา
หากตีความว่าการแสดงความเห็นของผมเข้าข่ายครอบงำพรรค ต่อไป นักวิชาการ ประชาชน สื่อมวลชนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล ก็ไม่สามารถวิจารณ์ เสนอแนะพรรคก้าวไกลได้เลยหรือ?
ในส่วนของบรรดาผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล และเพื่อน สส. คณะผู้นำของพรรคก้าวไกล ขอโปรดเข้าใจด้วยว่า นี่คือความเห็นของกัลยาณมิตรคนหนึ่ง ซึ่งเอาใจช่วย สนับสนุน และฝากความหวังไว้กับพรรคก้าวไกลในการเปลี่ยนแปลงประเทศในช่วงหัวต่อหัวเลี้ยวเช่นนี้
ผมเองทราบดีว่า เมื่อไรก็ตามที่แสดงความเห็นถึงพรรคก้าวไกล ก็อาจมีโอกาสที่ผู้สนับสนุนพรรคจะไม่พอใจผมหรืออาจตอบโต้ก่นด่าผม คงมีส่วนน้อยที่อาจจะเข้าใจหรือเห็นด้วย
การวิจารณ์พรรคก้าวไกลโดยตรง ย่อมนำมาซึ่งความไม่พอใจที่มีต่อผม หรือทำให้ความนิยมที่มีต่อผมลดลงด้วยซ้ำ เอาเข้าจริง ผมอยู่เฉยๆ ทำตนเป็นผู้ทรงภูมิ นิ่งเฉย หรืออวยพรรคก้าวไกล ผมคงได้คะแนนนิยมและได้ร้บการชื่นชมแน่ๆ
การแสดงความเห็นของผมถึงพรรคก้าวไกลไม่ได้ทำให้ผมได้ประโยชน์อะไรเลย มีแต่จะเพิ่มจำนวนคนที่ไม่เข้าใจและเกลียดผมมากขึ้นด้วยซ้ำ
จากเดิม ฝักฝ่ายอนุรักษ์นิยมจารีตและฝ่ายความมั่นคง ก็ไม่ชอบผมและปฏิบัติการทางข้อมูลข่าวสารต่อผมต่อเนื่องมามากกว่าทศวรรษ พอพรรคก้าวไกลแข่งขันกับพรรคเพื่อไทยอย่างเข้มข้นในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยก็ไม่พอใจผม (จากเดิมที่สนับสนุนผม ตั้งแต่สมัยผมเป็นนักวิชาการ) และผมก็ตกเป็นเป้าโจมตีของผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยบางคน มาวันนี้ พอผมวิจารณ์พรรคก้าวไกลตรงไปตรงมา ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลก็เริ่มต่อต้านไม่พอใจผมอีก
ทั้งหมดนี้ มีแต่เสียกับเสีย ผมไม่ได้อะไรเลย
แล้วผมทำไปทำไม?
จะไปวิจารณ์พรรคก้าวไกล ให้คนสนับสนุนพรรคก้าวไกลมาด่าผมอีกทำไม ในเมื่อก็มีอีกหลายกลุ่มไม่พอใจความเห็นของผมอยู่มากแล้ว?
คำตอบ ก็คือ ผมยังเชื่อมั่นว่าพรรคก้าวไกลเป็นความหวังของการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย
การปล่อยให้พรรคก้าวไกลทำอย่างไรก็ได้ โดยไม่มีคนกล้าท้วงติงอย่างตรงไปตรงมา ในเรื่องที่อาจสร้างความไม่สะดวกสบายใจให้กับผู้สนับสนุน ย่อมทำให้พรรคก้าวไกลเดินออกนอกแนวทางได้
พรรคการเมืองที่หลงเหลืออยู่ มีจำนวนไม่มากที่เราฝากความหวังไว้ได้ เมื่อผมฝากความหวังไว้กับพรรคก้าวไกล ผมย่อมคาดหวังและเรียกร้องเป็นพิเศษ
ตั้งแต่ผมเริ่มทำงานวิชาการต่อเนื่องมาสู่การเมือง ก็คิดอยู่เสมอว่า การแสดงความเห็น บางครั้งอาจทำให้คนไม่ชอบ บางครั้งอาจทำให้คนไม่นิยม แต่ถ้าเราเสนอความเห็นนั้นอย่างสุจริตใจ ตามจิตสำนึกของเรา และคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เราก็จำเป็นต้องแสดงความเห็นนั้นออกไป
ผมเตรียมข้อเขียนเกี่ยวกับพรรคก้าวไกลเอาไว้ข้อเขียนนี้สื่อสารอย่างตรงไปตรงมา และน่าจะเป็นข้อเขียนสุดท้ายที่ผมเขียนวิจารณ์ถึงพรรคก้าวไกล หลังจากนี้จะเขียนงานวิชาการล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับพรรคก้าวไกล คงจะดีกว่า
ผมอยู่ในสภาวะ “กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง” มาหลายปีแล้ว คิดว่า ควรต้องตัดสินใจเด็ดขาดเสียที
เดิมที ผมตั้งใจจะไปหางานอย่างอื่นทำ ค่อยๆ ถอนตัวออกจากแวดวงการเมือง ดังที่เคยโพสต์ไว้เมื่อสิ้นปีที่แล้วต่อต้นปีนี้ แต่บังเอิญมีกรณีกับพรรคก้าวไกลและคณะนำ ชวนให้ผมกลับมาช่วยหาเสียงให้พรรคก้าวไกล ผมยินยอมกลับมา เพราะเล็งเห็นถึงเป้าหมายใหญ่ในการเลือกตั้ง ทำให้ผมต้องยกเลิกแผนการที่วางไว้ทั้งหมด
มาบัดนี้ การเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน พรรคก้าวไกลกำลังจะเปลี่ยนหัวหน้าพรรค และคงดำเนินการตามแนวทางในแบบของเขา ทั้งการบริหารภายในพรรค และทั้งการดำเนินการทางการเมือง ดังนั้นผมก็ควรจบภารกิจในทางการเมืองรอบนี้ได้แล้ว
จากนี้ไป ผมขอกลับไปทำอะไรหลายๆ อย่าง ตามแผนการที่วางไว้ ตั้งแต่ต้นปี เช่น เขียนหนังสือที่ค้างไว้หลายปีนับตั้งแต่มาตั้งพรรคการเมือง จัดรายการในช่องทางของผม เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องรัฐธรรมนูญและกฎหมายมหาชน ทดลองยกร่างรัฐธรรมนูญรายมาตราและคำอธิบาย เผื่อจะเป็นแบบให้ใครนำไปใช้ก็ได้ บรรยายในสถาบันการศึกษา เรียนภาษาสเปน อ่านหนังสือ ดูหนัง ที่สำคัญ คือ ลดน้ำหนัก หัดขี่จักรยาน และเรียนว่ายน้ำ !!! เป็นต้น
สำหรับข้อเขียนชิ้นสุดท้ายถึงพรรคก้าวไกลที่จะทยอยเผยแพร่ใน 2-3 วันนี้ มีอยู่ 2 ตอน
ตอนแรก สิ่งที่พรรคก้าวไกลต้องเผชิญในระยะเวลาอันใกล้
ตอนที่สอง ข้อคิดถึง สส.และคณะนำพรรคก้าวไกล
ขอให้คิดเสียว่า ความเห็นของผม ก็เหมือนเอสเปรสโซ่ 2 ช็อตหลังตื่นนอน รสอาจขมเข้มบ้าง แต่มันอาจช่วยให้ตื่นได้
แต่ถ้าอ่านแล้ว ทำให้หงุดหงิดโมโห ก็ขอให้ข้ามผ่านไปครับ
ผมยืนยันว่า ผมยังมีความหวังว่าประเทศไทยของเราจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ และพรรคก้าวไกลจะเป็น “ยานพาหนะ” สำคัญในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แต่ทว่า… การมีความหวัง ก็คนละเรื่องกันกับการหมดเวลาหมดรอบของเรา
วันนี้ ตอนนี้ หมดเวลาของผมแล้ว ถึงคราวของคนอื่นๆ แล้ว แลไปข้างหน้า จนกว่าเราจะพบกันอีก
2) น่าสงสารเขานะครับ “คนที่เคยมีความสำคัญ”ถึงขั้นเป็นเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็น“ยานแม่” ของพรรคก้าวไกล กลับกลายเป็น “คนนอก”เป็น “คนที่น่ารำคาญ”
ปิยบุตร ยังเล่นบทที่โลกโซเชียลฯ เรียกขานคนทำนองนี้ว่า “หลวงประดิษฐ์วาทกรรม” ซึ่งมีอยู่คับคั่ง ทั้งในพรรคอนาคตใหม่ และสืบเนื่องมาถึงพรรคก้าวไกล คงรัก
“ศรีบูรพา” มาก หรือจินตนาการว่า ตัวเองเป็นนักสู้เชิงอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่เหมือน “ศรีบูรพา” จึงเอาชื่อหนังสือแลไปข้างหน้า กับ จนกว่าเราจะพบกันอีก มาเป็นข้อความฟินนาเล่ ทั้งๆ ที่ควรจบด้วยเพลง “ส่องกระจก” ของปั่น-ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว “...ส่องกระจกดูเงา เงาของตัวเอง...”หรือ “ส่วนเกิน” ของ ดาวใจ ไพจิตร “...มองดาวเดือนที่ลอยล้นเกลื่อนนภา ลมโบกพลิ้วโปรยมา ใจผวาลอยเลื่อนระทมระทวยระทึกฤทัยไร้เพื่อน ใจนึกอยากเป็นเดือนมีดาวล้อมเกลื่อนรอบกาย มองดูตัวเรา แสนจะว่างเปล่าเดียวดาย น่าอายขวยเขิน...” มากกว่า
3) ความสัมพันธ์และความสำคัญของปิยบุตรในพรรคก้าวไกล คงจะ “ก้าวไกล” จากกันมาเป็นระยะ ตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งแล้ว ที่มีข่าวลือว่า แนวทางของเดอะต๋อม “ชัยธวัช ตุลาธน” กับ ทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ไปคนละแนวกับปิยบุตร ถึงขั้น “พิธา-ปิยบุตร” เคย“ฟาดปาก” กัน ผ่านโซเชียลมีเดียมาแล้ว และต้องไปทำพิธีกรรมกลบเกลื่อนด้วยการกินข้าว-ร้องเพลง
ฟางเส้นสุดท้ายที่เป็นเหตุ “สะบั้นใจ” ระหว่างพรรคก้าวไกลกับปิยบุตร น่าจะเป็นกรณีที่ปิยบุตรอาละวาดฟาดพรรคก้าวไกลว่า “ผมทราบข่าวกรณีคุณช่อ-พรรณิการ์ วานิช ตั้งแต่บ่ายสามแล้ว แต่จงใจยังไม่แสดงความเห็นใดๆ เพราะอยากรอดูว่า พรรคก้าวไกล จะมีการสื่อสารแบบเป็นทางการออกมาบ้างหรือไม่ แต่จนถึงตอนนี้ ไม่มีเลย พบเห็นแค่มีสส.บางคนแสดงความไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง แต่ไม่มีการแถลง หรือวิจารณ์ใดๆ ออกจากพรรคก้าวไกลแม้แต่น้อย
อย่าใช้เหตุผลนะครับว่า “คุณช่อ” ไม่ใช่สมาชิกพรรคก้าวไกล นั่นคนละเรื่องเลย พรรคการเมืองสามารถแสดงความเห็นได้อยู่แล้ว ยังไม่นับว่าคุณช่อเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้พรรคก้าวไกลด้วย ในขณะที่ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล และผู้สนับสนุนพรรคอื่น ยังแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างกว้างขวาง แต่พรรคก้าวไกลกลับ “เงียบกริบ”
เงียบจนผมรู้สึกว่า “ไร้น้ำใจ” กับพรรณิการ์ วานิช จนเกินไป!!
ด้อมส้ม ซึ่งถูก “ปลูก” มาให้ “อารมณ์ร้าย”รักแรง-โกรธแรง จึงหันมาถล่มปิยบุตรกันแบบ “เต็มตีน”
4) ด้อมส้ม อยู่ในช่วง “รักและห่วง” ขวัญใจคนล่าสุด คือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่เพิ่งชวดเก้าอี้นายกฯถูกศาลสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ สส. และต้องลุ้นคดีอีกหลายคดี แถมลาออกจากหัวหน้าพรรคและประกาศภารกิจ“ก้าวต่อไป ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน”
“ช่อ” พรรณิการ์ วานิช ก็ดี, ปิยบุตร แสงกนกกุลก็ดี จึงไม่ใช่ “คนในใจ” ไม่ใช่คนที่พะว้าพะวงห่วงใย และโผล่มาในเวลาที่ “ไม่ใช่”
สิ่งที่น่าจับตากว่า คือ ใครคือหัวหน้าพรรคก้าวไกลคนใหม่ คนคนนั้นจะเป็นสัญญาณการต่อสู้และแนวทางการต่อสู้ ซึ่งแน่นอนว่า จะยังคงไว้ซึ่งบทบาทแบบ “หลวงประดิษฐ์วาทกรรม” และจะละทิ้งบทบาทแบบ “หลวงประดิษฐ์วิกฤตการณ์” แบบที่ชายชื่อ“ปิยบุตร” และหญิงชื่อ “ช่อ” เคยเล่นมา
ซึ่งด้อมส้มเขารู้สึกว่า “สร้างแต่เรื่อง”!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี