นายศรีสุวรรณ จรรยา ถูกบูลลี่ ด้อยค่า ว่าเป็น “นักร้อง” เพื่อดิสเครดิตการทำงานตรวจสอบอำนาจรัฐ ฝ่ายการเมือง นักการเมือง พรรคการเมือง
แต่ถ้าว่ากันตามผลงานจริง นายศรีสุวรรณเป็น “ผู้ร้อง” ที่มีผลงานมากที่สุดในประเทศไทย
ไม่ใช่แค่เรื่องการเมือง เรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทุกข์ชาวบ้าน ปัญหาทุจริต ฯลฯ ศรีสุวรรณร้องเข้าเป้า เกิดผลลัพธ์มาแล้วมากมาย
คดีสะพานแสนสำราญนั่นที่เลิกเก็บค่าผ่านทาง 10 บาท 20 บาท ก็เพราะศรีสุวรรณร้อง
ส่วนไอ้ตนที่ไปทำร้ายร่างกายศรีสุวรรณ ก็ถูกแกดำเนินคดีจนศาลพิพากษาลงโทษจำคุกไปแล้ว
ผลงานล่าสุดของนายศรีสุวรรณ คือ คดีฟ้องขอเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างสะพานข้ามคลองมหาสวัสดิ์โดยไม่ทำ EIA
ศาลปกครองกลางพิพากษาเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างอาคารหรือสะพาน ค.ส.ล. ข้ามคลองมหาสวัสดิ์
“...ข้อเท็จจริงรับฟังตามคำให้การของอธิบดีกรมศิลปากรได้ว่า คลองมหาสวัสดิ์เป็นโบราณสถานตามกฎหมาย การก่อสร้างสะพานข้ามคลองที่พิพาท จึงถือเป็นการก่อสร้างทางหรือถนนเพื่อประโยชน์ในการจราจรสาธารณะทางบกใกล้โบราณสถาน ตามกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ในระยะทาง 1 กิโลเมตร ซึ่งตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ประกอบข้อ 3 ของประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ดังนั้น การที่ผู้อำนวยการสำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร ออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารหรือสะพาน ค.ส.ล. ข้ามคลองมหาสวัสดิ์ และนายกองค์การบริหารส่วนตำบลมหาสวัสดิ์ออกใบอนุญาตให้ปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ โดยที่ยังไม่ได้รับแจ้งผลการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานดังกล่าว ย่อมเป็นการสั่งอนุญาตโดยขัดต่อพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
อีกทั้งเป็นการอนุญาตโดยที่บริษัทผู้ขออนุญาตยังมิได้รับอนุญาตหรือความยินยอมตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องโดยถูกต้องครบถ้วน ใบอนุญาตทั้งสามจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
นี่ก็เป็นผลงานการฟ้องร้องโดยนายศรีสุวรรณ จรรยา นี่เอง
ถ้าไล่ดูการเคลื่อนไหวล่าสุดของนายศรีสุวรรณ อาทิ
1. จับพิรุธโครงการอบรมอาชีพดีพร้อม กระทรวงอุตสาหกรรมยุคสุริยะ
เมื่อวานนี้เอง นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดินและคณะเข้ายื่นคำร้องถึง รมว.อุตสาหกรรม(พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล)
เพื่อขอให้ตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาสอบอดีตรัฐมนตรีอุตสาหกรรม อดีตเลขารัฐมนตรีอุตสาหกรรม และอดีตอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม(ปลัดอุตฯ) และบริษัทเอกชนที่ได้งาน ว่าดำเนินโครงการอาชีพดีพร้อมงบ 1,250 ล้านบาท ที่ส่อไปในทางทุจริต ล็อกสเปกและฮั้วกันหรือไม่?
สืบเนื่องจาก รมว.อุตสาหกรรมคนก่อนหน้านี้ ได้ขออนุมัติงบกลางให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตฯ ใช้ดำเนินโครงการพัฒนาอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ให้ชุมชนดีพร้อม “อาชีพดีพร้อม” วงเงิน 1,250 ล้านบาท
แต่พบว่าเป็นการใช้งบประมาณงบกลางอาจไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์
อาจมีการฮั้วและล็อกสเปกไปฝึกอบรมให้กับประชาชนในพื้นที่ของผู้สมัครพรรคการเมืองเดียวกับรัฐมนตรี และใช้หน่วยงานของรัฐเอื้อประโยชน์ให้แก่พรรคการเมืองดังกล่าว
อาจมีพฤติกรรมการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชนบางราย โดยการจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ หรือวัสดุที่ใช้ในการอบรมจากบริษัทที่ใกล้ชิดกับเลขาฯส่วนตัวของ รมต.อุตฯ(ขณะนั้น)โดยเป็นการซื้อจากบริษัทเดียวทั่วประเทศที่เป็นบริษัทผู้ใกล้ชิดกับฝ่ายการเมือง
ในการดำเนินการจัดฝึกอบรมแต่ละจังหวัดมีการหักหัวคิวค่าวิทยากร และเบิกการจ่ายค่าวิทยากรเกินความเป็นจริง
บางพื้นที่ไม่ได้มีการจ่ายจริง และมีการหักหัวคิว ค่าใช้จ่าย ในส่วนของผู้เข้าร่วมอบรม
บางพื้นที่ไม่ได้มีการจ่ายจริง ไม่ได้มาอบรมจริง แต่เบิกเต็มจำนวน ใช่หรือไม่?
นายศรีสุวรรณยังเปิดเผยด้วยว่า กรณีดังกล่าว มีผู้ไปร้องเรียนให้คณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎรชุดก่อนหน้านี้ตรวจสอบซึ่งพบว่าเป็นจริงตามร้อง แต่ต่อมามีการเกี้ยเซียะกันโดยมีการแบ่งโซนอบรมลงตัว เลยไม่มีการตรวจสอบต่อ อันเป็นข้อพิรุธ ซึ่งปัจจุบันคนถูกตรวจสอบกับคนตรวจสอบกลับกลายมาอยู่พรรคการเมืองเดียวกัน ได้เป็นรัฐมนตรีเหมือนกันไปแล้ว แต่งบประมาณแผ่นดินกลับถูกนำไปละลายน้ำ สร้างประโยชน์ให้กับนักการเมืองและบริษัทผู้ได้งานที่เตรียมกันไว้แบบเจาะจง แต่ยังหาผู้รับผิดชอบไม่ได้
“ด้วยเหตุดังกล่าว องค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน จึงนำความมาร้องเรียนให้ รมว.อุตสาหกรรมคนใหม่ได้สั่งการให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ อดีตรัฐมนตรี อดีตเลขาฯรัฐมนตรี และอดีตอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและเอกชนว่ามีการฮั้ว ล็อกสเปกให้กับบริษัทผู้รับจ้างเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับนักการเมืองหรือพรรคการเมือง ที่ส่อไปในทางที่ทุจริตและประพฤติมิชอบ อันขัดต่อ พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ 2560 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ 2542 ประกอบระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ 2560 หรือไม่ หากตรวจสอบแล้วเป็นไปตามข้อร้องเรียนให้ส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช.เพื่อดำเนินการเอาผิดตามครรลองของกฎหมายต่อไป แต่หากยังเพิกเฉยหรือลูบหน้าปะจมูกกัน องค์กรรักชาติฯไปยื่น ป.ป.ช.เสียเอง” - นายศรีสุวรรณ กล่าว
2.จี้กรมราชทัณฑ์ ขอเอกสารบันทึกของ จนท.และความเห็นแพทย์หลังให้ นช.ทักษิณอยู่โรงพยาบาลต่อ
นายศรีสุวรรณ จรรยา เปิดเผยว่า กรณีนายทักษิณ ชินวัตร ที่อยู่ในความควบคุมของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ซึ่งรับตัวไว้เมื่อวันที่ 22 ส.ค.66 และต่อมามีการอ้างว่ามีอาการป่วยฉุกเฉินต้องส่งตัวออกรักษาพยาบาล ณ โรงพยาบาลตำรวจในคืนดังกล่าว อันเป็นที่สงสัยและเคลือบแคลงของสังคมไทยอย่างมากว่าป่วยจริงหรือป่วยการเมือง
บัดนี้ ครบระยะเวลาสามสิบวัน ที่ส่งตัวออกไปรักษาพยาบาลภายนอกในวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมาแล้วนั้น
ตามกฎกระทรวงว่าด้วยการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 กำหนดไว้ว่า กรณีผู้ต้องขังพักรักษาตัวนอกเรือนจำเกินกว่าสามสิบวัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดีพร้อมความเห็นของแพทย์ที่ทำการรักษาผู้ป่วยและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง โดยกรมราชทัณฑ์ได้รับหนังสือจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร รายงานความเห็นแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจ ระบุเหตุผลความจำเป็นของนายทักษิณ ที่จำเป็นต้องรักษาตัวเกินสามสิบวันเนื่องจากการรักษายังไม่สิ้นสุด เพราะได้เข้ารับการผ่าตัดและยังคงต้องรักษาตัวอยู่ต่อ ณ โรงพยาบาลตำรวจ
อย่างไรก็ตาม ตามกฎกระทรวงฯดังกล่าวกำหนดให้ต้องมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ 2 คนไปคอยควบคุมนักโทษภายในเขตที่กำหนดตลอดเวลาในโรงพยาบาล
ซึ่งเจ้าหน้าที่จะต้องจดบันทึกข้อมูลทุกอย่างที่เกิดขึ้น
ทั้งเรื่องอาหารและผู้เข้าเยี่ยมโดยละเอียด แล้วรายงานให้ผู้บังคับบัญชาและอธิบดีทราบทุกๆ วันด้วย
เอกสารการจดบันทึกและรายงานดังกล่าว เป็นเอกสารของทางราชการที่จะต้องเปิดเผยให้ประชาชนทราบได้ด้วย
นอกจากนั้น ในรายงานความเห็นแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจนั้น ไม่มีใครทราบว่าได้เขียนรายงานว่าอย่างไร
รายงานดังกล่าวเป็นเอกสารราชการทั่วไป ซึ่งชอบที่กรมราชทัณฑ์จะต้องเปิดเผยให้สาธารณชนทราบด้วย เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจกันของประชาชน
“...ด้วยเหตุนี้องค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน จึงได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ 2560ม.41(1) ม.53 ประกอบ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ 2540 ในการขอเอกสารราชการดังกล่าวทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ น.ช.ทักษิณมาพิจารณาตรวจสอบตามสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะเอกสารดังกล่าวไม่เข้าเงื่อนไขการยกเว้นตาม ม.15 เพราะมิใช่ระเบียนประวัติการรักษาทางการแพทย์แต่อย่างใด
กระนั้น หากมีความพยายามที่จะปกปิดข้อมูลข่าวสารดังกล่าว องค์กรฯก็จะร้องเรียนไปยังคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตาม ม.18 วรรคสาม ในทันที
แต่หากยังมีความพยายามที่จะร่วมมือกันปกปิดข้อมูลข่าวสารดังกล่าวอีก ก็จำเป็นที่จะต้องนำความไปฟ้องร้องต่อศาลปกครองต่อไป
ทั้งนี้กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ต้องไม่มีใครเป็นเทวดา มีอภิสิทธิ์อยู่เหนือกฎหมาย แม้จะมีฐานะทางการเงินหรืออำนาจเพียงใดก็ตาม” – นายศรีสุวรรณกล่าว
3. ร้อง กกต. สอบพรรคก้าวไกล ปิยบุตรชี้นำ-ครอบงำ?
นายศรีสุวรรณ ยื่นคำร้องชี้เบาะแสให้ กกต.ได้ตรวจสอบ กรณีนายปิยบุตรแสงกนกกุล ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวตำหนิพรรคก้าวไกลที่ไม่รีบออกมาสื่อสารแบบเป็นทางการ ไม่ว่าจะแถลงหรือวิจารณ์ใดๆอันรู้สึกได้ว่า “ไร้น้ำใจ” กับพรรณิการ์ วานิช จนเกินไป กระทั่งรุ่งขึ้นอีกวันพลพรรคก้าวไกลออกมาดาหน้ากันคัดค้านและออกแถลงการณ์ช่วยช่อ-พรรณิการ์กันเป็นทิวแถว
ถือได้ว่าเป็นการชี้นำ ครอบงำ ต้องห้ามตามกฎหมายพรรคการเมืองหรือไม่?
ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ม. 28 กำหนดเป็นข้อห้ามไว้ชัดเจนว่า ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทําการใดอันทําให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ สมาชิกกระทําการอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํา กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้ พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
ส่วนใน ม.29 ระบุว่า ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิใช่สมาชิกกระทําการใดอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํา กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่า โดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
หากฝ่าฝืน ม.28 อาจมีโทษตาม ม.92(3) เป็นเหตุให้ กกต.เสนอศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้
ส่วนผู้ที่ฝ่าฝืน ม.29 ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 5-10 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000-200,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้นด้วย
“...การกระทำของนายปิยบุตร ซึ่งมิได้เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลที่ได้ออกมาโพสต์ข้อความในลักษณะดังกล่าว ดูเหมือนจะมีอิทธิพลต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพรรคก้าวไกลอย่างมาก ถึงขนาดดาหน้ากันออกมาให้สัมภาษณ์ รวมทั้งพรรคก้าวไกลก็ออกมาโพสต์แถลงการณ์คัดค้านคำพิพากษากรณีช่อ พรรณิการ์ กันอย่างเอิกเกริกหลังจากนั้นสอดรับกับการชี้นำของนายปิยบุตรโดยชัดแจ้ง
กรณีเช่นนี้ อาจถือได้ว่า พรรคก้าวไกลและนายปิยบุตรกระทำการอันมีลักษณะเป็นการฝ่าฝืน ม.28 และหรือ ม. 29 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ตามบทบัญญัติดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งผู้ที่จะสามารถวินิจฉัย ตรวจสอบ และให้คำตอบได้ดีที่สุดและเป็นไปตามกฎหมาย นั่นคือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง
ด้วยเหตุดังกล่าว องค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน จึงจำต้องนำความพร้อมพยานหลักฐานมาร้องเรียนและชี้เบาะแสให้ กกต.ดำเนินการตรวจสอบและไต่สวนตามครรลองของกฎหมายต่อไป
หากพบเป็นการฝ่าฝืนก็ให้ดำเนินการลงโทษและหรือเสนอศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวต่อไป” –นายศรีสุวรรณกล่าว
จะเห็นว่า การเคลื่อนไหวของนายศรีสุวรรณอาจถูกด้อยค่าเกินจริง เพียงเพราะมีประเด็นไปกระทบนักการเมือง
ทั้งๆ ที่ หากดูตามผลงานแล้ว นายศรีสุวรรณนับเป็น “ผู้ร้อง” ที่ทำหน้าที่ออกหน้าแทนประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอำนาจรัฐมากมายหลายเรื่อง หลายมิติ
เพราะฉะนั้น อย่าดูแคลน หรือด้อยค่าศรีสุวรรณ จนเกินไปนัก
ไม่ใช่มะม่วงก็ร่วงได้
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี