“ศิลปะ” ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของภาษาที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสารและแสดงออก ความผูกพันของมนุษย์และศิลปะมีมายาวนานตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยเห็นได้จากภาพเขียนสีและการขูดขีดบนผนังถ้ำที่ถูกใช้เพื่อบันทึกเรื่องราวของมนุษย์ในยุคนั้น ต่อมาในยุคประวัติศาสตร์ศิลปะและมนุษย์ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันอย่างไม่อาจที่จะแยกออกจากกันได้อย่างสิ้นเชิง โดยสามารถเห็นได้จากผลงานที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก ล้วนเกิดขึ้นจากอิทธิพลทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของศิลปะที่รับใช้ศาสนาหรือศักดินา ศิลปะที่ถูกทำขึ้นเพื่อเชิดชูหรือต่อต้านกับอุดมการณ์ใดอุดมการณ์หนึ่ง ศิลปะที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือแสดงออกทางการเมือง
ถ้าพูดถึงศิลปินที่มีบทบาทเป็นอย่างมากทางการเมืองของวงการศิลปะร่วมสมัยสากลในปัจจุบัน คงหนีไม่พ้นที่จะคิดถึง อ้ายเวยเวย (Ai Wei Wei) เขาเป็นผู้ที่มีบทบาททั้งในแง่ของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างเจ็บแสบและประท้วงรัฐบาลจีนในการใช้อำนาจโดยมิชอบละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน เขายังเปิดโปงและให้ความจริงเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันที่รัฐบาลพยายามจะปกปิด ด้วยการขุดคุ้ยกรณีของโรงเรียนถล่มในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มณฑลเสฉวนเมื่อปี พ.ศ. 2551 สาเหตุที่ทำให้โครงสร้างของโรงเรียนนั้นไม่สามารถที่จะทนต่อแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้คือการทุจริตคอร์รัปชันของรัฐบาลทำให้การก่อสร้างนั้นไม่ได้มาตรฐาน จนกลายเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของเด็กนักเรียนจำนวนมาก นอกจากนี้อ้ายเวยเวยยังพยายามที่จะใช้สื่อโซเชียลต่างๆ เพื่อพยายามที่จะปลุกให้คนรุ่นใหม่นั้นเกิดการตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล จนเขาถูกเพ่งเล็งและคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐด้วยหลากหลายวิธี
เราลองมาดูกระแสของการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยในไทยบ้าง “ศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน” เป็นหนังสือที่เขียนโดย จิตร ภูมิศักดิ์ โดยใช้นามปากกาว่า“ทีปกร” ซึ่งในช่วงพ.ศ. 2498 - 2501 เขาได้มีโอกาสคลุกคลีกับนักเรียนศิลปะด้วยการเป็นอาจารย์สอนพิเศษวิชาภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยบทความในหนังสือนั้นเป็นการตั้งคำถามกับแนวความคิดของผู้ทำงานศิลปะ “ศิลปะเพื่อศิลปะ” (art for art’s sake) และสนับสนุนศิลปะเพื่อชีวิต (art for life) ทำให้เกิดการถกเถียงขึ้นในหมู่นักเรียนศิลปะในสมัยนั้นอย่างกว้างขวาง และหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2561 คำว่า ศิลปะเพื่อชีวิต (art for life) ได้กลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง โดยมีการแสดงนิทรรศการกลุ่มเกิดขึ้นหลายครั้ง ซึ่งจัดโดยกลุ่มศิลปินที่ชื่อว่า “กลุ่มธรรม” โดยศิลปินที่เป็นผู้ก่อตั้งและผู้นำหลักของกลุ่มคือ ประเทือง เอมเจริญ โดยสนับสนุนแนวคิดว่าศิลปินสามารถที่จะรับใช้สังคมและประชาชนได้ด้วยการสะท้อนชีวิตของผู้คน นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มศิลปินที่รวมตัวกันในชื่อ “กลุ่มแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย” ซึ่งพยายามที่จะสร้างศิลปะและวัฒนธรรมใหม่ให้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ปฏิเสธการรับใช้ปัจเจกชน นายทุน ศักดินา และจักรวรรดินิยม แต่หลังจากช่วง 6 ตุลาคม 2519 กลุ่มศิลปินเหล่านี้ต้องยุติบทบาทลงเพื่อหนีการปราบปรามและจับกุมของรัฐ
กลับมามองในปัจจุบันช่วงระยะเวลา 3 - 4 ปีที่ผ่านมา เราสามารถเห็นถึงกระแสความเข้มข้นของการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองเป็นอย่างมาก รวมถึงพัฒนาการของกลุ่มศิลปินและผู้ที่ทำงานสร้างสรรค์ในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่มีการหยิบเอาประเด็นที่หลากหลายเชื่อมโยงกับสังคมขึ้นมาพูดอย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผยมากขึ้น แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงถูกคุกคาม และมีความพยายามในการใช้กฎหมายเพื่อปิดปากอย่างไม่เป็นธรรมเพราะเพียงแค่พวกเขามีความคิดเห็นไม่ตรงกับรัฐ เป็นที่ทราบกันดีว่าในสังคมแบบประชาธิปไตย การที่พลเมืองมีส่วนร่วมต่อสังคมถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในฐานะของ Active citizen จึงเป็นหน้าที่ของศิลปินที่จะหยิบยกเอาประเด็นทางสังคมมาวิพากษ์ด้วยผลงานของพวกเขาหรือไม่? ถ้าการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นอย่างเสรีนั้นเป็นสิ่งที่พึงกระทำได้ในหลักประชาธิปไตย ศิลปินก็ควรมีเสรีภาพในการแสดงออกด้วยผลงานของพวกเขาเช่นกัน
การประเมินที่สามารถทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น ว่าการให้เสรีภาพในการแสดงออกนั้นสามารถที่จะสร้างความโปร่งใสให้เกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศได้ คือค่าดัชนีเสรีภาพสื่อโลก (World Press Freedom Index) และค่าดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (Corruption Perception Index) ที่มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน กล่าวได้คือประเทศที่มีเสรีภาพในการแสดงออกสูง ก็จะทำให้เกิดภาพลักษณ์ของความโปร่งใสในประเทศเหล่านั้นสูงตามไปด้วย จึงถือเป็นบทบาทหน้าที่ของรัฐที่เป็นประชาธิปไตยหรือไม่? ที่จะสนับสนุนเสรีภาพและพื้นที่ปลอดภัยในการแสดงออกของศิลปินและผู้ที่ทำงานสร้างสรรค์ โอบรับคำวิพากษ์วิจารณ์และความคิดเห็นที่แตกต่าง สร้างสรรค์สังคมที่สามารถเกิดการพูดคุย ส่งเสริมวัฒนธรรมการถกเถียงกันด้วยเหตุผลอย่างมีวุฒิภาวะ สุดท้ายนี้สำหรับผู้เขียนในฐานะของคนที่เคยเป็นนักเรียนศิลปะ ยังคงมีความหวังเล็กๆ ว่าเมื่อถึงวันหนึ่งที่โครงสร้างทางสังคมที่บิดเบี้ยวได้รับการแก้ไขและมีบริหารจัดการที่ดีมากพอ สังคมก็จะมีพื้นที่ให้สำหรับศิลปินและผู้ที่ทำงานสร้างสรรค์มากขึ้น เมื่อสังคมที่ดีศิลปะก็จะดีตาม เพราะทั้งสองสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะแยกออกจากกันได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี