ในวันที่ 14 ตุลาคม 2566 ก็จะครบวาระ 50 ปีของการลุกฮือของประชาชน นำโดยขบวนการนักศึกษา เพื่อเรียกร้องการสิ้นสุดการปกครองโดยคณะรัฐบาลทหาร และทำการคืนประชาธิปไตยให้กับประชาชน ในปี 2516 ซึ่งจัดได้ว่า เป็นการรวมตัวกันของประชาชนเพื่อต่อสู้อำนาจเผด็จการทหารอย่างยิ่งใหญ่ครั้งแรก เป็นต้นกำเนิดการใช้สิทธิเสรีภาพของการเป็นพลเมืองในการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองการปกครองจากเผด็จการสู่ประชาธิปไตย
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม ถูกจัดให้เป็นประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัยที่มีความสำคัญต่อจากเหตุการณ์ 24 มิถุนายน 2475 เท่านั้น (เป็นการสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และการเริ่มต้นก้าวใหม่ของราชอาณาจักรไทยที่มีกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นตัวตั้ง และองค์พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญนี้ (Constitution Monarchy) และการวางกรอบสังคมประชาธิปไตยให้กับราชอาณาจักรไทยด้วยระบบรัฐสภาและการเลือกตั้งด้วยการแข่งขันกันระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ)
ทั้งนี้ ประชาชนพลเมืองได้ร่วมกันเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และมอบหมายอำนาจให้ผู้แทนของเขาไปปกครอง บริหารบ้านเมือง เพื่อความเจริญก้าวหน้าและความผาสุกของทุกหมู่เหล่า โดยประชาชนพลเมืองได้ถวายอำนาจอธิปไตยต่อองค์พระมหากษัตริย์ เพื่อทรงกำกับ ดูแล และแนะนำต่อฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ เป็นการเสริมสร้างความสมดุล และถ่วงดุลการใช้อำนาจต่างๆ ระหว่างกัน โดยองค์พระมหากษัตริย์ผู้เป็นองค์ประมุขก็จะทรงปฏิบัติตนและภารกิจด้วยหลักธรรม
แม้ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ราชอาณาจักรไทยอาจจะยังก้าวไปไม่ถึงการเป็นสังคมประชาธิปไตยเต็มใบเช่นเดียวกับราชอาณาจักรอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น อังกฤษ สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก ลิกเตนสไตน์ สเปน แม้กระทั่งมาเลเซีย และภูฏาน แต่สังคมประชาธิปไตยไทยก็ยังจัดได้ว่ามีความก้าวหน้าพอสมควร ดังจะเห็นได้จากการตื่นตัว และการมีส่วนร่วมของประชาชนพลเมืองในความเป็นไปของบ้านเมืองโดยทั่วไป
อีกทั้งไทยเราก็ได้มีการกระจายอำนาจไปแล้วระดับหนึ่ง และพรรคการเมืองต่างๆ ก็เริ่มระมัดระวังตัวในความประพฤติ และในเรื่องความมีสาระ อีกทั้งฝ่ายข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ ก็เริ่มรู้ตัวว่าจะต้องทำตัวเป็นผู้ให้บริการและรับใช้ประชาชนมากกว่าเป็นผู้สั่งการ และผู้บังคับบัญชา ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ การตื่นตัวของเยาวชนคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวในเรื่องการมีส่วนร่วมทางการเมือง อีกทั้งบุคลากรด้านสื่อก็มีองค์ความรู้ มีความกระตือรือร้น ตั้งอกตั้งใจที่จะค้นหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเป็นมาของเรื่องราวต่างๆ เน้นการให้ความรู้และเสริมสร้างความเข้าอกเข้าใจของสาธารณชน อีกทั้งก็เป็นพลังตรวจสอบและควบคุมพฤติกรรมของผู้ใช้อำนาจรัฐต่างๆ ไปโดยปริยาย
ในวันนี้ เส้นทางสู่การเป็นสังคมประชาธิปไตยที่มีความเป็นสากล และไม่เป็นรองใครของราชอาณาจักรไทยยังถือว่ายาวไกลอยู่ เพราะยังมีกลุ่มชนที่ต้องการรักษาฐานันดรเดิม (Status quo) ของตน และยังต้องการรักษาอำนาจหน้าที่ไว้ในมือ โดยไม่ประสงค์ที่จะเดินไปกับวิธีการร่วมคิดร่วมทำ หากแต่ประสงค์จะคงสภาพการเป็นผู้สั่งการ บังคับบัญชาการและให้ประชาชนพลเมืองเป็นแค่ผู้รับฟัง และเป็นผู้รับไปปฏิบัติตามเพียงอย่างเดียว
คู่ขนานกันไป ก็ยังมีความคิดอ่านในแวดวงกองทัพว่า คำว่าความมั่นคงของชาตินั้นยังหมายรวมถึง การเข้าไปแทรกแซง และยึดอำนาจทางการเมือง โดยไม่ยอมรับสาระเนื้อหาของสังคมประชาธิปไตย หลักการปกครองและบังคับบัญชาที่ว่า ฝ่ายกองทัพจะต้องขึ้นกับฝ่ายพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ทั้งนี้ก็มักจะมีการลืมเลือนไปว่า เหนือกองทัพขึ้นไปก็ยังมีตำแหน่งจอมทัพอีกด้วย และฝ่ายกองทัพไม่สามารถ และไม่สมควรแต่อย่างใดทั้งสิ้นในการที่จะดำเนินการใดๆ ข้ามพระเนตรพระกรรณขององค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นจอมทัพ
ดังนั้น เพื่อให้ความเป็นประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทยก้าวหน้าขึ้นไปอีก กฎเกณฑ์กติกาของประเทศในรูปแบบของกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ก็คงต้องวางโครงสร้างและสาระเนื้อหาของประเทศที่เป็นประชาธิปไตย และจะต้องยุติความคิดอ่านซึ่งแทบจะเป็นประเพณีปฏิบัติว่า ใครเป็นผู้มีอำนาจในช่วงนั้นๆ ก็จะเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญตามความชอบและเพื่อผลประโยชน์ของหมู่เหล่าตน เพราะเมื่อกฎเกณฑ์ไม่เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ประเด็นปัญหาที่คั่งค้าง ก็จะยังคั่งค้างต่อไป แล้วยังเสริมให้มีประเด็นปัญหาเพิ่มเติมขึ้นมาอีก
นอกจากนั้น พรรคการเมืองไทย ก็ทำตัวเป็นตัวปัญหาอย่างมากมายเสียเอง ทั้งในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งในเรื่องการหาประโยชน์เข้าตน และลืมเลือนซึ่งอำนาจหน้าที่ของฝ่ายตนต่อประเทศชาติและประชาชนพลเมือง
ฉะนั้นเพื่อให้ประชาธิปไตยก้าวหน้าก็ต้องมีกฎเกณฑ์กติกาที่เข้มงวด เด็ดขาด จากพรรคการเมือง เพื่อมิให้ออกไปนอกลู่นอกทาง อีกทั้งบรรดาผู้อาสาเข้ามารับใช้ประเทศชาติก็จะต้องมีผ่านการศึกษา ฝึกอบรมเกี่ยวกับความเป็นพลเมืองและการเป็นนักการเมือง และจะต้องมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่เป็นที่ประจักษ์แน่ชัด เป็นต้น
ในขณะเดียวกันข้าราชการทุกประเภท รวมทั้งพนักงานรัฐวิสาหกิจ และองค์กรอิสระต่างๆ ก็ต้องผ่านการฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างความเป็นพลเมืองประชาธิปไตย เพื่อให้ข้าราชการเหล่านี้มีความเป็นประชาธิปไตย และดำรงชีวิตและทำหน้าที่การงานในกรอบสังคมประชาธิปไตยได้
14 ตุลาคม 2516 แม้จะมีการสูญเสีย แต่ก็ไม่ได้เสียหายไปทั้งหมดเพราะได้ทำให้อำนาจประชาชนมีการก่อตัว และมั่นคงยิ่งขึ้น ซึ่งอนุชนรุ่นหลังก็ต้องรับช่วงกันต่อไป เพื่อราชอาณาจักรไทยจะได้บรรลุเป้าหมายของการเป็นราชอาณาจักรไทยที่เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์และแท้จริง (Democratic Kingdom)
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี