ในสังคมไทยในยุคสมัยนี้ มีความความเจริญก้าวหน้าทางด้านวัตถุขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว และคงจะไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้ สามารถเพิ่มความสะดวกสบาย รวดเร็ว ทันอกทันใจให้กับชีวิตในวันวันหนึ่ง
แต่ในขณะเดียวกัน สังคมไทยเราก็มักจะมีข่าวอึกทึกครึกโครมเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนไทยที่ไม่งดงามออกมาเป็นระยะๆ และดูจะค่อนข้างถี่ จากวงการต่างๆ ทั้งทางด้านศาสนา ข้าราชการ ธุรกิจ ไปจนถึงชาวบ้านทั่วๆ ไป ซึ่งสาเหตุมักจะมาจากอารมณ์ชั่ววูบ มาจากความโลภ ความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว เป็นสำคัญ ทั้งๆ ที่บ้านเมืองไทยเราก็เต็มไปด้วยวัดวาอาราม โบสถ์ และสุเหร่า มีวันสำคัญทางศาสนาและขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมอย่างสม่ำเสมอมากมาย อีกทั้งรายการวิทยุ โทรทัศน์ และสื่อสังคมสมัยใหม่ต่างๆ ก็จะมีรายการเทศนาสั่งสอน บรรยายธรรม เป็นประจำ นอกจากนั้น เรายังมีการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและศาสนาไปยังโบราณสถานและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศอีกด้วย ที่สำคัญ ผู้นำประเทศไม่ว่าท่านใด ก็มักจะเรียกร้องเชิญชวนให้ประชาชนพลเมืองยึดมั่นและเคารพในเรื่องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หรือนัยหนึ่งให้ทุกคนยึดมั่นและร่วมแรงร่วมใจกันเสริมสร้างการรักชาติและการสมัครสมานสามัคคีร่วมกัน
ในสภาพการณ์นี้จึงจัดได้ว่า มีการขับเคี่ยวกันระหว่างความคิดอ่าน และพฤติกรรมที่เป็นอกุศลกับความคิดอ่านหรือพฤติกรรมที่เป็นกุศล แต่ดูทว่าฝ่ายอกุศลกำลังอยู่ในฐานะที่เหนือกว่าฝ่ายกุศล ซึ่งคำถามสำคัญก็คือ ทำไมสังคมไทยจึงเป็นเช่นนี้? และเราจะแก้ไขปัญหากันอย่างไร?
ก็คงต้องเริ่มต้นที่บรรดาผู้นำด้านต่างๆ กล่าวคือ ผู้นำทางศาสนาทุกศาสนาต้องออกมาพูดจาให้แน่ชัด เข้มแข็ง อย่างต่อเนื่องว่า การใช้ความรุนแรงใดๆ และการกระทำใดๆ ที่ไปละเมิดและรบกวนผู้อื่นและสังคมโดยรวมนั้น เป็นการไม่ถูกต้อง และทางฝ่ายศาสนาไม่สามารถยอมรับได้
ฝ่ายผู้ปกครองประเทศทั้งที่มีตำแหน่งในสถาบันองค์กรรัฐต่างๆ ไปจนถึงหัวหน้าพรรคการเมือง ก็ต้องออกมายืนหยัดในเรื่องธรรมะ และประพฤติตนให้เป็นแบบอย่าง มิใช่เอาแต่พูดจาแบบบ่ายเบี่ยง พูดจาแบบครึ่งเล่นครึ่งจริงพูดจาแบบศรีธนญชัย พูดจาแบบสุกเอาเผากินอีกทั้งก็ต้องมีการบริหารราชการแบบมีธรรมาภิบาลที่มีความเด็ดขาด รวดเร็ว มิใช่ด้วยวิธีการโยกย้ายชั่วคราว หรือการจัดตั้งคณะทำงานสอบสวนเรื่องราว เสมือนกับว่าเป็นการประวิงเวลา แล้วให้เรื่องจืดจางหายไป เป็นการแสดงความไม่รับผิดชอบ ความเอาจริงเอาจัง และขาดการยืนหยัดอยู่กับหลักธรรม
ในทุกองค์กรตั้งแต่ระดับโรงเรียน ไปจนถึงฝ่ายบริหารบุคลากรของทุกองค์กร จะต้องมีการทบทวนการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาจิตใจให้อยู่กับหลักธรรม
ทั้งนี้ในโลกกว้าง บริษัท ห้างร้าน และองค์กรต่างๆ ในอเมริกาเหนือและยุโรป ก็ได้มีการฝึกอบรมให้กับบุคลากรทุกระดับในเรื่องสัมมาสติ (Mindfulness) แต่ที่ประเทศไทยเราซึ่งเป็นเมืองพุทธ ก็ดูจะมองข้ามประเด็นนี้ไป ซึ่งสำนักงานข้าราชการพลเรือน กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานส่งเสริมพุทธศาสนา ก็น่าที่จะได้มีการนำเรื่องหลักธรรม และการฝึกจิตใจเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งอันสำคัญของการพัฒนาข้าราชการ พนักงานรัฐต่างๆ และในการนี้ทางภาครัฐก็สามารถที่จะร่วมมือกับภาคเอกชนต่างๆ ในการนำหลักธรรมและการฝึกสมาธิเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาบุคลากร
เมื่อหัวหน้าครอบครัวประพฤติในธรรม โอกาสที่บุคคลในครอบครัวจะประพฤติตามจะมีความเป็นไปได้อย่างสูง และฉันใดฉันนั้นเมื่อผู้บริหารผู้ปกครองประเทศประพฤติตนให้
เป็นแบบอย่างด้วยหลักธรรม ลูกบ้านก็จะเดินตามเป็นแน่แท้ และเมื่อนั้นสังคมไทยที่ขาดดุลธรรมะก็จะมีการเพิ่มดุลธรรมะขึ้นมาอย่างแน่นอน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี