“ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. มีหนังสือบันทึกข้อความที่ 0011.32/4129 ลงวันที่ 24 ต.ค. 2566 เรื่อง แจ้งเวียนคำสั่ง ตร.เรื่อง แนวทางการดำเนินการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 ถึง รอง ผบ.ตร., จตช. ผู้ช่วย ผบ.ตร., รอง จตช. เพื่อทราบผบช. หรือตำแหน่งเทียบเท่า ผบก. หรือตำแหน่งเทียบเท่าในสังกัด สง.ผบ.ตร. ใจความว่า ด้วย พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ.2565 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2566เป็นต้นไป และได้กำหนดให้กฎหมายในบัญชี 1 และบัญชี 3ท้าย พ.ร.บ. นี้มีผลใช้บังคับในวันที่ 25 ต.ค. 2566
ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตามนัยกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย เป็นไปด้วยความเรียบร้อย รอบคอบ และสอดคล้องกับ พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรับเป็นพินัยพ.ศ.2565 จึงให้ถือปฏิบัติตามคำสั่ง ตร. เรื่อง แนวทางการดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยพ.ศ.2565 ทั้งนี้ สามารถดาวน์โหลดเอกสารได้ตาม QR Code ตามที่ปรากฏท้ายหนังสือนี้ จึงแจ้งมาเพื่อทราบ”
รายงานข่าวเล็กๆ ที่เผยแพร่ผ่านสื่อหลายสำนักเมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2566 แต่เรื่องนี้มีความสำคัญและเป็นจุดเปลี่ยนครั้งหนึ่งของสังคมไทย กับความพยายาม
หาทางออกจากคำกล่าวเชิงประชดประชันที่ว่า “คุกมีไว้ขังคนจน” ซึ่งหนึ่งในที่มาของคำกล่าวนี้คือ “การที่คนจนต้องถูกจำคุกหรือกักขังในคดีความผิดเล็กๆ น้อยๆ เพียงเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ” ในขณะที่คนรวยเงินจำนวนเท่ากันนั้นอาจจ่ายได้สบายๆ แบบขนหน้าแข้งไม่ร่วง กลายเป็น “ความเหลื่อมล้ำ” ของกระบวนการยุติธรรมที่คนไทยรับรู้กันดีมาช้านาน
สำหรับ พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ.2565 นั้นต้องย้อนไปเมื่อปี 2563 กับการริเริ่มโดย คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งสืบเนื่องจากบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มาตรา 77ที่กำหนดให้รัฐจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น และกำหนดโทษอาญาเฉพาะความผิดร้ายแรง จึงพัฒนาร่างกฎหมายฉบับนี้ขึ้นเป็น “กฎหมายกลาง” ในการพิจารณาและกำหนดมาตรการในการลงโทษผู้ที่กระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง และไม่กระทบโดยตรงต่อความสงบเรียบร้อยหรือความปลอดภัยของประชาชน
ในเดือน ส.ค. 2563 (ร่าง) พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. .... เริ่มปรากฏให้สามารถสืบค้นได้บนอินเตอร์เนต ตามกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน อธิบายคำสำคัญ “ความผิดทางพินัย” คือ การกระทำหรืองดเว้นการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และกฎหมายนั้นบัญญัติให้ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัย ซึ่งไม่ใช่โทษทางอาญา (ในอนาคตการตรากฎหมายต่างๆ จะต้องระบุให้ชัดเจนว่าการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นๆ จะต้องได้รับโทษอาญาหรือต้องชำระค่าปรับเป็นพินัย)
“ค่าปรับเป็นพินัย” คือ เงินค่าปรับที่ต้องชำระให้แก่รัฐ ซึ่งเป็นมาตรการทางกฎหมายที่จะนำมาใช้แทนโทษอาญาสำหรับผู้กระทำความผิดไม่ร้ายแรงและไม่กระทบโดยตรงต่อความสงบเรียบร้อยหรือความปลอดภัยของประชาชน ผลของการกระทำความผิดทางพินัยมีเพียงการต้องชำระเงินค่าปรับเท่านั้น ไม่มีการจำคุก หรือกักขัง
แทนการปรับ ตลอดจนไม่มีการบันทึกลงในประวัติอาชญากรรมหรือทะเบียนประวัติอาชญากร ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องและได้สัดส่วนกับการกระทำความผิดที่ไม่ร้ายแรง
ขณะที่ใน พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ.2565 ซึ่งผ่านการพิจารณาวาระ 3 ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2565 และประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 25 ต.ค. 2565 โดยให้มีผลบังคับใช้อีก 240 วันหลังจากนั้น “มาตรา 3” ระบุนิยาม “ปรับเป็นพินัย” หมายความว่า สั่งให้ผู้กระทำความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินที่กฎหมายกำหนด และ “ความผิดทางพินัย” หมายความว่า การกระทำหรืองดเว้นการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และกฎหมายนั้นบัญญัติให้ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัย
“มาตรา 9” ว่าด้วย “การกำหนดค่าปรับทางพินัย” ให้นำข้อเท็จจริงเหล่านี้มาพิจารณา 1.ระดับความรุนแรงของผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ชุมชนหรือสังคมจากการกระทำความผิดทางพินัย และพฤติการณ์อื่นอันเกี่ยวกับสภาพความผิดทางพินัย 2.ความรู้ผิดชอบ อายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ สิ่งแวดล้อม การกระทำความผิดซ้ำและสิ่งอื่นทั้งปวงเกี่ยวกับผู้กระทำความผิดทางพินัย 3.ผลประโยชน์ที่ผู้กระทำความผิดทางพินัยหรือบุคคลอื่นได้รับจากการกระทำความผิดทางพินัย
และ 4.สถานะทางเศรษฐกิจของผู้กระทำความผิดทางพินัย ทั้งนี้ “กฎหมายยังเปิดให้ผ่อนจ่ายค่าปรับได้ด้วย”อย่างไรก็ตาม “การผิดนัดชำระต้องมีเหตุอันสมควร” หากผู้กระทำความผิดทางพินัยผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้การผ่อนชำระเป็นอันยกเลิกและผู้กระทำความผิดต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยที่ยังค้างชำระอยู่ให้ครบถ้วนภายในเวลาที่เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือศาลกำหนด และหากไม่ชำระค่าปรับเป็นพินัยภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา 23 หรือมาตรา 30 แล้วแต่กรณี
ซึ่ง “มาตรา 23” ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐสรุปข้อเท็จจริงข้อกฎหมาย พยานหลักฐานและส่งสำนวนให้พนักงานอัยการเพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลต่อไป เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายซึ่งบัญญัติความผิดทางพินัยได้บัญญัติให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีอำนาจดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลได้เองเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจดำเนินการฟ้องคดีโดยไม่ต้องส่งให้พนักงานอัยการ ส่วน “มาตรา 30” ให้ศาลมีอำนาจออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สิน หรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของผู้นั้นเพื่อชำระค่าปรับเป็นพินัย
“มาตรา 33” คดีความผิดทางพินัยเป็นอันยุติ ด้วยเหตุดังต่อไปนี้ 1.เมื่อมีการชำระค่าปรับเป็นพินัยหรือทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับเป็นพินัยครบถ้วนแล้ว 2.โดยความตายของผู้กระทำความผิดทางพินัย 3.เมื่อมีการเปรียบเทียบความผิดอาญาตามมาตรา 16 (4) กล่าวคือ ถ้าความผิดอาญานั้นเปรียบเทียบได้ และได้มีการชำระค่าปรับตามที่เปรียบเทียบแล้วให้ความผิดทางพินัยนั้นเป็นอันยุติ และ 4.เมื่อคดีขาดอายุความตามมาตรา 11หรือพ้นกำหนดเวลาตามมาตรา 12 แล้วแต่กรณี“มาตรา 34” ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐบันทึกการกระทำความผิดทางพินัยของบุคคลใดรวมไว้ในบันทึกประวัติอาชญากรรม หรือในฐานะเป็นประวัติอาชญากรรม
หมายเหตุ : สามารถอ่าน พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ.2565 โดยละเอียด รวมถึงบัญชีกฎหมายอื่นๆ ซึ่งจะนำกระบวนการนี้ไปใช้ได้ที่https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2565/A/066/T_0022.PDF
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี