ประเทศไทยของเรามีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมที่ดีงามหลายอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่ครั้งอดีตกาล ถือเป็นภูมิปัญญาที่สำคัญยิ่ง การที่สิ่งดีๆ ต่างๆเหล่านี้ยังคงถูกรักษาไว้ได้เพราะชนรุ่นหลังๆ ได้ช่วยกันสืบสาน และเป็นเรื่องที่จะต้องทำต่อไป เพื่อคงไว้ซึ่งความเป็นเอกลักษณ์และสัญลักษณ์ของชาติ
งานที่เกี่ยวข้องกับประเพณีและวัฒนธรรมที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนนี้คืองานประเพณีลอยกระทง ซึ่งเป็นเรื่องที่สืบสานกันมายาวนาน ตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัย ที่ได้มีการกล่าวกันไว้ว่าพระร่วงเจ้าซึ่งน่าจะหมายถึงพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้จัดให้มีงานเผาเทียนเล่นไฟ ตามที่มีการจารึกปรากฏอยู่ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งงานนี้น่าจะเป็นงานลอยกระทงที่ถูกสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง
การลอยกระทงเป็นวัฒนธรรมที่ปรากฏในแถบเอเชีย ที่มีความเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับศาสนาทั้งพุทธและพราหมณ์ เป็นการกระทำเพื่อเป็นพุทธบูชาต่อสิ่งที่ให้ความเคารพนับถือ เชื่อกันว่าเป็นการรอรับเสด็จพระพุทธเจ้า หลังจากที่พระองค์เสด็จไปโปรดพระมารดา และที่เกี่ยวโยงในสมัยพุทธกาลก็คือ เชื่อว่าเมื่อพระพุทธเจ้ารับข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดานำมาถวาย หลังจากเสวยแล้วก็ทรงนำถาดทองมาลอยน้ำ และอธิษฐานว่าหากในภายภาคหน้าจะสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ขอให้ถาดทองลอยทวนน้ำ เมื่อพญานาคแห่งเมืองบาดาลเห็นเช่นนั้น จึงมีศรัทธาและขอให้พระพุทธเจ้าประทับรอยพระบาทไว้ ณ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อที่เหล่าพญานาคจะได้ขึ้นมาสักการะ ซึ่งเมื่อนางสุชาดาทราบเรื่องนี้ จึงนำถาดใส่เครื่องหอมและดอกไม้เพื่อสักการะรอยพระพุทธบาทเช่นเดียวกัน จึงกลายเป็น ประเพณี ที่จะทำกันทุกวันเพ็ญเดือน ๑๒
ส่วนประวัติการลอยกระทงที่คนไทยคุ้นเคยคือตำนานนางนพมาศ ที่ยึดถือตามหนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ที่เชื่อว่านางนพมาศผู้เป็นพระสนมของพระร่วง แห่งกรุงสุโขทัย เป็นกุลสตรีผู้คิดประดิษฐ์รูปดอกบัวโกมุทเพื่อใช้ในพระราชพิธี รอยพระประทีป ซึ่งเป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระร่วง จึงมีการปฏิบัติมาจนถึงปัจจุบัน
สรุปความเชื่อในปัจจุบันของคนไทยเกี่ยวกับการลอยกระทงก็คือ เป็นการบูชาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยให้น้ำเป็นพาหนะนำทาง และเป็นการขอขมาต่อแม่น้ำลำคลองและพระแม่คงคา และประการสุดท้ายคือเปรียบเสมือนการลอยความทุกข์ไปกับกระทงที่ไหลไปกับสายน้ำ พร้อมทั้งตั้งจิตอธิษฐานขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
อีกเรื่องหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญของไทยคือเรื่องประเพณีสงกรานต์ ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดมาอย่างยาวนานในแถบประเทศเอเชียอาคเนย์ ในอดีตนั้นวันสงกรานต์ของไทยตรงกับวันที่ ๑๓ เมษายน ถือว่าเป็นวันปีใหม่ไทย เนื่องจากคำว่าสงกรานต์ซึ่งมาจากภาษาสันสกฤต มีความหมายว่าการเคลื่อนย้าย วันสงกรานต์เป็นช่วงเวลาของการเคลื่อนย้ายของจักรราศี นั่นก็คือการเคลื่อนสู่ปีใหม่ แต่ในปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ รัฐบาลในยุคจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ได้ปรับเปลี่ยนให้วันปีใหม่ของประเทศไทยเป็นวันที่ ๑ มกราคมของทุกปีโดยอ้างว่าเพื่อให้เป็นไปตามแบบแผนสากลนิยม
ประเพณีอย่างหนึ่งของวันสงกรานต์คือการแห่นางสงกรานต์ ซึ่งตามตำนานเล่าว่า เกิดจากการที่เศรษฐีคนหนึ่งไม่มีบุตร จึงไปขอบุตรกับพระจันทร์และพระอาทิตย์อยู่หลายปีแต่ก็ไม่ได้ จนกระทั่งในฤดูร้อนปีหนึ่งจึงนำข้าวสารซาวน้ำ ๗ สี หุงบูชาด้วยสมุนไพร พร้อมเครื่องถวาย ไปตั้งจิตอธิษฐานขอบุตรกับพระอินทร์ จึงได้ลูกชาย ชื่อว่าธรรมบาลกุมาร เป็นคนฉลาดหลักแหลม ทำให้เท้ากบิลพรหมต้องการท้าทายปัญญา โดยถามปัญหา ๓ ข้อและให้ธรรมบาลกุมารตอบภายใน ๗ วัน หากฝ่ายใดแพ้จะถูกตัดศีรษะบูชา คำถามที่ถูกถามคือ ตอนเช้าราศีอยู่ที่ไหน ตอนเที่ยงราศีอยู่ที่ไหน และตอนค่ำราศีอยู่ที่ไหน ธรรมบาลกุมารคิดคำตอบอยู่ถึง ๖ วันก็ยังนึกไม่ออก จึงไปนอนอยู่ใต้ต้นไทรโดยคิดว่าถ้าจะต้องตายก็ขอตายในที่ลับ มีนกอินทรี 2 ตัวผัวเมียเกาะทำรังอยู่บนต้นไทร นางนกอินทรีถามสามีว่า พรุ่งนี้เราจะไปกินอาหารแห่งใด นกสามีตอบว่าจะไปกินศพ ธรรมบาลกุมารซึ่งจะถูกท้าวกบิลพรหมฆ่าเพราะตอบปัญหาไม่ได้ นางนกจึงถามว่า คำถามที่ท้าวกบิลพรหมถามคืออะไร เมื่อนกสามีบอกไป นางนกก็เฉลยคำตอบไม่ได้ นกสามีจึงเฉลยว่าตอนเช้าราศีจะอยู่ที่ใบหน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุกเช้า ตอนเที่ยงราศีจะอยู่ที่หน้าอก คนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ส่วนตอนเย็นราศีจะอยู่ที่เท้า คนจึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน ธรรมบาลกุมารจึงจำคำตอบที่นกสามีบอกไว้ไปตอบท้าวกบิลพรหม ทำให้ท้าวกบิลพรหมพ่ายแพ้ จะต้องถูกตัดศีรษะแต่เนื่องจากหากศีรษะของท้าวกบิลพรหมตกลงพื้นโลกจะเกิดเพลิงไหม้ ถ้าโยนขึ้นไปบนอากาศฝนก็จะแล้ง และถ้าจะทิ้งในมหาสมุทรน้ำก็จะแล้ง จึงสั่งให้เทพธิดาทั้ง ๗ ซึ่งเป็นบาทบริจาริกาของพระอินทร์หมุนเวียนทำหน้าที่แห่ศีรษะของตนรอบเขาพระสุเมรุปีละ ๑ ครั้ง เมื่อแห่เสร็จก็นำไปเก็บรักษาไว้ในถ้ำคันธุลี ในเขาไกรลาศ ซึ่งวันที่แห่แต่ละวันจะตรงกับช่วงวันมหาสงกรานต์
ประเพณีที่สำคัญในวันสงกรานต์ นอกจากการทำบุญตักบาตรแล้ว อีกเรื่องหนึ่งคือการแห่พระและสรงน้ำพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นก็จะมีการรดน้ำดำหัว เพื่อขอพรจากผู้ใหญ่ การบังสุกุลอัฐิ การปล่อยนกปล่อยปลา และการขนทรายเข้าวัด แต่สิ่งที่สร้างความสนุกสนานเบิกบานใจเป็นอย่างมากก็คือการรดน้ำสงกรานต์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากการตักน้ำรดซึ่งกันและกัน มาเป็นการสาดน้ำ ฉีดน้ำใส่กันโดยใช้กระบอกฉีดน้ำ แถมยังมีการเอาแป้งดินสอพองปะหน้าลูบหน้าผู้ที่อยู่ใกล้ชิด โดยเฉพาะผู้ชายก็พยายามจะเอาแป้งทาหน้าหรือลูบหน้าฝ่ายสตรี ซึ่งถึงแม้จะดูเหมือนทำให้เกิดความสนุกสนานมากกว่าเดิม แต่ก็ทำให้ประเพณีอันดีงามบางส่วนที่ได้แสดงถึงการมีสัมมาคารวะซึ่งกันและกัน โดยการใช้ขันเล็กๆ ตักน้ำจากขันใบใหญ่ ซึ่งทางภาคเหนือและในหลายพื้นที่ยังนิยมใช้เป็นขันเงิน และนำน้ำที่ตักขึ้นนั้นรดไปยังมือของผู้ใหญ่ผู้เป็นที่เคารพรวมทั้งการขอพร หรือหากเป็นเพื่อนฝูงคนรู้จักหรือคนทั่วๆ ไปก็รดน้ำบริเวณหัวไหล่ เริ่มเลือนหายไปจากสังคมไทยมากขึ้นเรื่อยๆ
ชาติไทยของเราเป็นชาติเก่าแก่ จึงมีสิ่งที่เรียกว่า ภูมิปัญญาที่ได้มีการปฏิบัติสืบต่อกันมานานจนกลายเป็นขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรม และเป็นที่น่ายินดีว่า สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมของชาติไทยหลายเรื่อง ได้รับการรับรองว่าเป็นมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ซึ่งก็คือมรดกโลกนั่นเอง โดยในปี ๒๕๖๖ นี้ องค์การยูเนสโก(UNESCO) ที่มีชื่อเต็มว่าองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ได้ประกาศรับรองและขึ้นทะเบียน สงกรานต์ในประเทศไทย ให้เป็นมรดกดังกล่าว เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
จนถึงปัจจุบันนี้ ประเทศไทยมีวัฒนธรรมซึ่งได้รับการประกาศรับรองให้เป็น มรดกของมนุษยชาติแล้วจำนวน 4 เรื่อง เรื่องแรกที่ประกาศรับรองในปี ๒๕๖๑ คือโขน ในปี ๒๕๖๒ คือนวดไทย และในปี ๒๕๖๔ คือโนรา ดังนั้นสงกรานต์ในไทยจึงเป็นวัฒนธรรมที่เกิดจากภูมิปัญญาอันเป็นมรดกโลกรายการที่ ๔ ของชาติเรา และเชื่อว่าในอนาคตอีกไม่นาน งานลอยกระทง ก็จะได้รับการประกาศให้เป็นวัฒนธรรมจากภูมิปัญญาที่เป็นมรดกโลกเช่นเดียวกัน
ขณะนี้รัฐบาลของนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ได้มีความพยายามอย่างมากในการนำสิ่งที่เรียกว่า Soft Power ซึ่งเชื่อว่ายังจะต้องมีการสื่อสารอีกอย่างมากเพื่อให้ประชาชนคนไทยได้เข้าใจตรงกันว่าคืออะไรกันแน่ เพราะแม้แต่คำแปลของภาษาอังกฤษ ๒ คำนี้ ก็ยังไม่ได้มีการกำหนดอย่างแน่นอน ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ แม้ราชบัณฑิตยสถานแห่งประเทศไทยจะได้กำหนดคำแปลไว้แล้ว ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับ โดยขณะนี้ก็ได้พยายามที่จะขยายผลจากการที่งานสงกรานต์ของไทยได้รับการรับรองให้เป็นภูมิปัญญาที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติแล้วมาเป็น Soft Power อีกเรื่องหนึ่งในปี ๒๕๖๗ โดยตั้งเป้าว่าจะจัดงานประเพณีสงกรานต์ตลอดทั้งเดือน เพื่อดึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้ออกมาท่องเที่ยวในช่วงเวลาดังกล่าว อันจะทำให้เกิดการสร้างรายได้มหาศาลในพื้นที่ที่มีการจัดงาน ซึ่งจะเป็นงานหนึ่งที่ใช้ Soft Power ในสร้างรายได้เพิ่มให้กับประเทศไทย
ก็หวังว่า Soft Power ที่มีอยู่ในงานสงกรานต์ครั้งต่อไปนี้ จะไม่ทำให้วัฒนธรรมอันดีงามของไทยต้องผิดเพี้ยนไปมากยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้ ซึ่งก็เริ่มมีการผิดเพี้ยนไปแล้วพอสมควร จนในที่สุดคุณค่าแห่งภูมิปัญญาที่มีอยู่จะลดน้อยลงไป เปรียบเสมือนต้นไม้ที่หากไม่รักษารากไว้ให้ดี ต้นและใบที่มีอยู่ คือภูมิปัญญาดังที่กล่าวมาแล้วก็ย่อมต้องเสียหาย และสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมอันดีงามของชาติก็จะสูญสลายไปด้วย
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี