ข่าวต่างประเทศรายงาน ระบุว่า การปิดตัวของบริษัทไฮเปอร์ลูป วัน (Hyperloop One) โดยไม่มีการก่อสร้างไฮเปอร์ลูปที่ใช้งานได้จริง และบริษัทจะขายสินทรัพย์และยกเลิกสัญญาจ้างพนักงานทั้งหมดในวันที่ 31 ธันวาคมนี้
ไฮเปอร์ลูป คือโครงการเดินทางผ่านท่อสุญญากาศ โดยมียานแคปซูล (pod) ขับเคลื่อนด้วยแรงแม่เหล็กไฟฟ้า มีสมมติฐานว่าจะเดินทางได้เร็วกว่ารถไฟความเร็วสูงถึง 4 เท่า
โครงการนี้ ถูกนักการเมืองบางพรรคนำมาใช้สร้างภาพหัวคิดล้ำสมัย เดินทางไปดูงาน กลับมาแถลงข่าว คุยโม้อวดราวกับว่าตนคิดล้ำยุค และประเทศไทยมันช่างล้าหลัง
แถมยังประกาศก้าวข้ามรถไฟความเร็วสูง แต่จะผลักดันโครงการก่อสร้างไฮเปอร์ลูปในประเทศไทยด้วย
ทั้งหมด เพื่อขับเน้นหวังผลทางการเมือง สร้างภาพสร้างเรื่อง หวังให้คนหลงเชื่อตามไปด้วย
โดยมีกลุ่มอินฟลูฯ นักวิชาการ สื่อออนไลน์ ฯลฯช่วยปั่นกระแสให้ต่อไปอีก
สุดท้าย ความจริงก็ปรากฏว่า มันยังทำไม่ได้จริง
1. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถึงขนาดเคยนำเรื่องนี้มาโพสต์เพื่อหวังผลทางการเมือง ระบุว่า Hyperloop อนาคตใหม่ของระบบขนส่งมวลชนไทย ที่ไปไกลกว่ารถไฟความเร็วสูง
คุยว่า ไปอเมริการอบนี้ ตนเองกับช่อได้ไปคุยกับบริษัทผู้พัฒนานวัตกรรมไฮเปอร์ลูประดับโลกถึง 3 แห่ง หนึ่งในนั้นคือ Virgin Hyperloop One ได้ไปเยือนฐานทดสอบไฮเปอร์ลูปกลางทะเลทรายในเนวาดา ได้คุยกับ ผอ.ฝ่ายวิศวกรรมของ Virgin Hyperloop One เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการสร้างรถไฟไฮเปอร์ลูปในไทย
รีบงับเอาความคิดมาขายต่อ เพราะความหวือหวา แปลกใหม่หวังดึงดูดความสนใจ สร้างความต่างในทางการเมืองให้กับตัวเอง
“...ไฮเปอร์ลูปเป็นนวัตกรรมล้ำยุคก็จริง แต่ระบบทั้งหมดกลับเรียบง่ายจนสามารถผลิตที่ไหนก็ได้ในโลก นอกจากระบบขับเคลื่อนที่เป็นเทคโนโลยีของ Virgin Hyperloop One ระบบอื่นเช่น ราง ตัวรถ รวมถึงอุโมงค์สุญญากาศที่ใช้สำหรับควบคุมสภาพแวดล้อมของระบบรางรถไฟ สามารถผลิตได้ในไทย...
...อนาคตใหม่ คืออนาคตที่เรากล้าฝันให้ใหญ่ ลงทุนอย่างมีวิสัยทัศน์ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าของคนไทย”
ถ้ากล้าคิด กล้าฝัน ไม่ใช่เรื่องผิด แต่สำคัญ คือ การทำงานการเมืองจะต้องรอบคอบรัดกุม อยู่บนพื้นฐานความเป็นไปได้จริง ไม่ใช่หวังแค่เอากระแส เอาภาพลักษณ์ที่คิดว่าเท่ของตัวเอง เพราะทุกอย่างจะมีต้นทุนต่อประเทศชาติส่วนรวม ถ้าแค่เป็นลูกเศรษฐีจะขอตังค์แม่ลงทุนทำไฮเปอร์ลูปก็คงจะไม่มีใครว่า
2. ตัวอย่างความเห็นที่เคยถูกมองว่าปั่นกระแสหวังผลการเมืองให้กับกลุ่มของนายธนาธรก็คือโพสต์ของอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง
เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2563 เคยโพสต์ว่า
“สวัสดีครับ คุณธนาธร (จึงรุ่งเรืองกิจ) คุณช่อ (พรรณิการ์ วานิช)
ผมมาจากอนาคต อีก สอง ปีข้างหน้า...ตอนนี้ไฮเปอร์ลูปได้ทดสอบวิ่งแบบมีผู้โดยสารสำเร็จเป็นครั้งแรกแล้ว...
เรื่องที่หลายคนบอกว่า เป็นเแค่ความเพ้อฝัน ตอนนี้มันเริ่มเป็นความจริงแล้วครับ”
การโพสต์เช่นนี้ คงยากจะปฏิเสธว่ามีผลช่วยสร้างภาพลักษณ์ทางการเมือง และหนุนเสริมกระแสให้กับนายธนาธรในเรื่องไฮเปอร์ลูปขณะนั้น
คงไม่ใช่มุ่งสนับสนุนวิทยาการ แต่เป็นการสื่อสารการเมืองให้ธนาธรดูเป็นพระเอกมากกว่า ซึ่งสวนทางกับพื้นฐานความเป็นจริง
3. ถ้ามองย้นกลับไป เราจะเห็นสร้างภาพ ปั่นกระแส จนเลยเถิด เกินกว่าความเป็นจริงมากมายหลายกรณี
โดยเฉพาะการปั่นกระแสที่สร้างภาพให้กับกลุ่มการเมืองพรรคอนาคตใหม่ คณะก้าวหน้า พรรคก้าวไกล ตลอดจนกลุ่มแนวร่วมม็อบสามนิ้ว หลายๆ เรื่อง
มักเน้นเอาอะไรที่หวือหวา น่าตื่นเต้น ดูล้ำยุค นำมาปั่นกระแส สร้างความคาดหวังให้กับพวกตนเอง
สร้างภาพกลวงๆ ว่าพวกตัวเองฉลาดเลิศล้ำกว่าใครๆ ในบ้านนี้เมืองนี้
ด้อยค่าการทำงานจริงของรัฐบาลหรือสิ่งที่เป็นอยู่จริงในประเทศไทยขณะนั้น
มากมายหลายเรื่อง เรื่องไหนถูกจับได้ไล่ทัน ก็สร้างเรื่องใหม่มาหลอกคนที่พร้อมจะถูกหลอกต่อไปอีกเรื่อยๆ
4. ตัวอย่างที่เคยสร้างความเสียหาย ก็คือการปั่นกระแสวัคซีนเทพ ด้อยค่าวัคซีนที่เรามีในช่วงโควิด
ล่าสุด มีการฟ้องร้องวัคซีนดังในสหรัฐอเมริกา โดยอัยการเท็กซัสชี้ว่า มีการโฆษณาโดยทำให้เชื่อว่า มีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อโควิดได้กว่า 90% แต่ทางปฏิบัติมันตรงข้าม เพราะกันได้แค่ 0.85%
วัคซีนรายนี้ ถูกนำมาปั่นกระแสวัคซีนเทพในไทย ด้อยค่าวัคซีนที่เรามี
ใช้คำหยาบคาย ด่าหมอ ด่าทีมงาน ศบค.ในขณะนั้น
บางส่วน ขยายความจาบจ้วงไปถึงสถาบัน
ด้อยค่าวัคซีนจีน วัคซีนที่ผลิตในไทย ทำให้คนบางส่วนหลงเชื่อ ไม่ยอมฉีดวัคซีนที่เรามี รอจะฉีดวัคซีนเทพ บางคนติดโควิดตายก็มี
ตอนนั้น ก็มีทั้งนักการเมือง อินฟลูฯ สื่อออนไลน์ สื่อทีวีกลุ่มแนวร่วมม็อบสามนิ้ว ฯลฯ เคลื่อนไหวสอดประสานกัน
สุดท้าย ความจริงก็ปรากฏว่า การตัดสินใจของทีมแพทย์นั้นถูกต้องที่สุด ดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัดในขณะนั้น
และที่สำคัญ พิสูจน์แล้วว่า วัคซีนทุกชนิดไม่กันติดแต่ช่วยกันตาย
5. Warat Gap ซึ่งเป็นทีมงานใน ศบค.ขณะนั้น ล่าสุด ได้โพสต์ถอดบทเรียนให้แง่คิดที่น่าสนใจมาก ระบุว่า
“...ในบรรดา Influencer ทั้งหลาย ที่ออกมาโจมตีวัคซีนที่รัฐมีให้ในตอนนั้น (Sinovac/Astra) และเรียกร้องให้หาวัคซีน mRNA มาให้ได้
มีคนหนึ่ง ที่ทางกระทรวง สธ. อยากให้มาช่วยรณรงค์ให้คนฉีดวัคซีน จึงเสนอจะฉีดวัคซีน Astra ให้ ที่ตอนนั้นกระแสมองกันว่ามีคุณภาพสูงกว่า Sinovac โดยด้วยจำนวนที่จำกัด (ยังผลิตเองไม่ได้ แต่ขอแบ่งมาจากต่างประเทศ) จึงฉีดให้เฉพาะผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยง และบุคลากรด่านหน้า
Influencer รายนี้ก็รีบรับข้อเสนอฉีด AZ ในทันทีทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้เข้าข่าย
แต่แค่นั้นยังไม่พอ Influencer รายนี้ ยังกล้าที่จะยื่นเงื่อนไขต่อรอง ขอวัคซีน AZ ให้กับครอบครัว พ่อแม่และเมียอีกด้วย
ซึ่งทางรัฐก็ต้องจำใจยอมสละวัคซีนให้กับครอบครัวของ Influencer รายนี้ ทั้งที่ทุกเข็มของวัคซีนในตอนนั้น มีค่ายิ่งกว่าทองคำ ที่ควรเก็บไว้เพื่อให้ผู้ที่จำเป็นจริงๆ
จากนั้นไม่นาน Influencer รายนี้ ก็รณรงค์จริงๆ แต่รณรงค์ให้คนด่ารัฐบาล อย่างสาดเสียเทเสีย
หลายครั้งก็หยาบคาย และเรียกร้องวัคซีนเทพ mRNA ทุกวัน!”
ฟังแล้ว ก็ได้แต่นึกสงสัยว่า อินฟลูรายนี้ มันจะมียางอาย หรือมีสำนึกในความละอายแก่ใจตนเองอยู่บ้างหรือไม่?
นอกจากนี้ Warat Gap ยังได้ให้แง่คิดอีกด้วยว่า
“...ผลการวิจัย ผลข้างเคียงของ “วัคซีนเทพ mRNA”
(Disclaimer: ผมขอบอกล่วงหน้าก่อนเลย ถึงผู้ที่อาจจะไม่รู้จักผม ว่าผมไม่ใช่หมอ แต่เป็นคนหนึ่งที่อ่านบทความภาษาอังกฤษได้ และอยู่กับข้อมูลโควิด และวัคซีนมาตลอดการแพร่ระบาด)
คงจะจำกันได้ว่า ในการระบาดโควิดระลอกหลังๆ จะเกิดเสียงเรียกร้องจากประชาชน “กลุ่มหนึ่ง” ทั้งคนที่เรียกตัวเองว่า Influencerนักการเมือง นักแสดง รวมทั้งสื่อไร้จรรยาบรรณ ที่เรียกร้องให้รัฐบาลนำเอาวัคซีนประเภท mRNA (ขอไม่เอ่ยชื่อยี่ห้อ) มาฉีดให้ประชาชนให้ได้ เนื่องจากเป็น “วัคซีนเทพ” ที่อ้างอิงผลวิจัยว่ามีประสิทธิภาพการป้องกันสูงสุด
และด้อยค่า โจมตีวัคซีนแบบอื่นๆ โดยเฉพาะวัคซีนประเภทดั้งเดิม คือแบบเชื้อตาย ที่รัฐบาลสามารถดีลกับประเทศผู้ผลิต และนำมาฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ได้เป็นประเทศแรกๆของโลก
หาว่าเป็นวัคซีนน้ำเปล่าบ้าง หรือฉีดแล้วมีผลเสียอย่างไรบ้าง ทั่วโลกไม่รับรองบ้าง
หรือกล่าวหาอย่างเลวร้ายว่าผู้ที่ออกมาสนับสนุนให้ซื้อหรือฉีดเป็นนายหน้า จนประชาชนหลายคนกลัวไม่ยอมไปฉีดวัคซีนเชื้อตาย จะรอ “วัคซีนเทพ” เท่านั้น จนติดโควิดและเสียชีวิตในที่สุด
ทั้งที่วัคซีนเชื้อตายได้รับการยืนยันแล้วว่าป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตได้สูงมาก และองค์การอนามัยโลกก็ให้การรับรอง
บุคคลต่างๆ และสื่อเหล่านี้ ได้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายและน่าละอายอย่างที่สุดอย่างหนึ่งที่ผมเคยเห็นมา
และปัจจุบันก็ยังคงลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมได้ราวกับว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด
บางคนก็ได้รับการเลือกตั้ง หรือมีตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาลนี้
แถมน่าเศร้าใจว่าหลายคนในจำนวนนั้นก็เป็นหมอ และบุคลากรทางการแพทย์เสียเองอีกด้วย
ผมในฐานะคณะทำงานคนหนึ่งของ ศบค. ที่ผ่านมาก็พยายามจะให้ข้อมูล ว่าวัคซีนแต่ละตัวมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ซึ่งก็เป็นการอ้างอิงมาจากบทความวิจัยและความเห็นของแพทย์ทั่วโลก
แต่กลับถูกโจมตี หรือด้อยค่าว่าไม่ใช่หมอไม่ต้องมาออกความเห็น บางสื่อก็เรียกนักวิชาเกิน หรือไอโอรัฐบาล
ซึ่งผมที่อ่านข้อมูลทุกวัน ผมเริ่มเกิดความกังวลถึงผลข้างเคียงของวัคซีน mRNA (โดยเฉพาะกับผู้ชายอายุน้อย) แต่ต้องเก็บไว้ไม่พูดออกมา เนื่องจากจะกลายเป็นผู้ที่ต่อต้านวัคซีน ในช่วงระหว่างที่เรากำลังพยายามระดมฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด และผลก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเป็นอย่างไร ส่วนตัวผมเอง ฉีดวัคซีนโควิดทั้งสิ้น 4 เข็ม โดยไม่มี mRNA เลย และก็ยังไม่ติด (เคาะๆ) มาจนถึงวันนี้ และก็ไม่ใช่ว่าผมจะต่อต้านไม่ให้ฉีดวัคซีน mRNA เพราะผมก็ให้ลูกสองคน รวมทั้งแม่และพ่อตาแม่ยาย ฉีดวัคซีน mRNA ด้วยเช่นกัน ซึ่งทุกคนยกเว้นลูกชายผมก็ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แต่ลูกชายที่ฉีด mRNA เพียงครึ่งโดส กลับเกิดผลข้างเคียงจนต้องรีบส่งโรงพยาบาล แต่ก็โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ผมก็จำไว้ว่าจะไม่ให้เขาฉีดวัคซีน mRNA อีก ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ผมไม่เคยบอกในที่สาธารณะเลย
จากนั้น เมื่อเลิก ศบค. ผมก็ไม่ได้ติดตามข่าวอย่างละเอียดนัก ก็กลับไปทำงานตามเดิม แต่ก็ได้ยินข่าวว่า ในสหรัฐอเมริกา เริ่มมีคดีฟ้องร้องเกี่ยวกับวัคซีน mRNA จนวันนี้
ผมได้เห็นข้อความของคุณหมอธีระวัฒน์ ที่พูดถึงผลข้างเคียงของวัคซีนโควิด จึงได้ลองเข้าไปหาข้อมูล และพบงานวิจัยจำนวนมาก (คัดเฉพาะงานล่าสุดปี 2023 ที่เห็นจากแค่หน้าแรกของ Google) ที่ยืนยันผลข้างเคียงที่รุนแรงจากวัคซีน mRNA ที่มีมากกว่าวัคซีนประเภทอื่นๆ จึงคิดว่าถึงเวลาที่ผมน่าจะต้องออกมาบอกเพื่อนๆผู้ติดตามถึงข้อมูลนี้ รวมถึงผู้ที่เคยทำบาปกรรมในการบอกให้ประชาชนไม่ฉีดวัคซีนเชื้อตายที่มีอยู่ และรอฉีดวัคซีนเทพเท่านั้น
ผมไม่ได้เขียนโพสต์นี้เพื่อจะบอกว่า ไม่ควรฉีดวัคซีนโควิดเพราะการฉีดวัคซีนโควิดทุกชนิด โดยเฉพาะในสายพันธุ์แรกๆ (อัลฟ่า/เดลต้า) นั้นป้องกันการป่วยหนักได้ ประโยชน์นั้นสูงกว่าความเสี่ยงที่มีผู้เกิดผลข้างเคียงจำนวนน้อย ซึ่งคำที่แพทย์ทั่วโลกพูดคือ Benefits outweigh the risks เพราะถ้าคุณติดโควิด ก็มีความเสี่ยงเป็นโรคต่างๆ ที่เป็นผลข้างเคียงของวัคซีนเช่นกัน และรุนแรงกว่าด้วย โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง (กลุ่ม 608) และในความเห็นส่วนตัวของผม (ไม่ยืนยัน) น่าจะมีปัจจัยหรือภาวะส่วนตัวบางอย่าง ที่แพทย์ก็ยังหาสมมุติฐานกัน ในการก่อให้เกิดผลข้างเคียงกับบางคนเท่านั้น ดังนั้นผู้ที่ฉีดแล้วไม่เกิดผลข้างเคียง ก็น่าจะแสดงว่าสามารถฉีดวัคซีนชนิดนั้นได้อีกอย่างปลอดภัย (แต่ในอนาคตอีกหลายสิบปีก็ยังไม่มีใครรู้ โดยเฉพาะวัคซีนแบบใหม่) และที่สำคัญคือ ถ้าไม่มีการระดมฉีดวัคซีน ก็ไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่จนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้
แต่ประเด็นก็คือ วัคซีน mRNA ที่คนกลุ่มหนึ่งเรียกว่าเป็นวัคซีนเทพนั้น ได้รับการยืนยันจากการวิจัยทางการแพทย์อย่างแทบจะเป็นเอกฉันท์ ว่ามีโอกาสก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรง โดยเฉพาะกับระบบประสาทและเส้นเลือดได้มากกว่าวัคซีนประเภทอื่นๆ (ทุกประเภทมีการรายงานผลข้างเคียง แต่ความรุนแรงต่างกันไป) ผู้ที่จะฉีดวัคซีนโควิดในอนาคต จึงควรปรึกษาแพทย์ว่าวัคซีนประเภทใดเหมาะกับตนเอง เพราะทุกประเภทนั้นป้องกันการป่วยหนักได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการฉีดวัคซีน
ส่วนคนและสื่อที่เคยมีส่วนในการเผยแพร่วาทกรรมอันเลวร้าย ก็ขอให้ได้รับรู้และสำนึกเป็นบทเรียนว่า การพิมพ์ การโพสต์ การออกข่าวโดยขาดความรอบคอบ หวังเพียงแค่ยอดไลค์ ยอดเรตติ้งความโด่งดัง
มันเป็นบาปกรรม ที่ทั้งทำร้ายผู้อื่น สังคม ประเทศชาติ ด้วยความคึกคะนอง ที่ผมได้แต่หวังว่าจะไม่ย้อนกลับมาสู่ท่านในวันใดวันหนึ่ง ...”
จากไฮเปอร์ลูป ถึงไฮเปอร์หลอก
ทั้งหมด นับเป็นกรณีศึกษาที่สังคมควรถอดบทเรียน
เลิกถูกคนบางกลุ่มปั่นหัว สร้างกระแส เพื่อด้อยค่าประเทศไทย ดูแคลนคนอื่นๆ สร้างภาพยกตัวให้ดูฉลาดหัวก้าวหน้ากว่าใคร
แต่แท้จริงแสนจะกลวง และหวังเพียงสร้างจุดขายทางการเมืองให้ตัวเอง
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี