โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. มูลค่าโครงการ 224,544 ล้านบาท
จนบัดนี้ ก็ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างเป็นรูป-เป็นร่าง
ยังคงอยู่ระหว่างเคลียร์พื้นที่ก่อนส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างโครงการ (ล่าช้าพื้นที่เขต กทม.)
ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(สกพอ.) และ ร.ฟ.ท. มีความเห็นที่จะส่งมอบหนังสือให้เริ่มงาน (Notice to proceed: NTP) แก่เอกชนคู่สัญญา ภายในเดือน ม.ค. 2567 นี้
1. โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เป็นโครงการใหญ่ระดับ2 แสนล้านบาท
ยิ่งกว่านั้น ยังส่งผลกระทบต่อโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก
เพราะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ที่เพิ่มความเป็นไปได้ของโครงการสนามบินอู่ตะเภาโดยตรง
พูดง่ายๆ ถ้าโครงการเกิดไม่ได้ หรือล้มหายตายจากไป โครงการสนามบินอู่ตะเภาก็ลูกผีลูกคน
ที่สำคัญ ยังจะกระทบถึงแผนการพัฒนาอีอีซีด้วยโดยตรง
2. สำนักข่าวอิศรารายงานข่าวว่า ทางกลุ่มซี.พี.ได้ยื่นขอขยายเวลาบัตรส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) แล้ว
หลังจากที่บัตรส่งเสริมการลงทุนที่ได้รับอนุมัติจะหมดอายุลงในวันที่ 22 ม.ค. 2567 (เมื่อวาน)
ซึ่งตามเงื่อนไขในการออก NTP จะต้องให้ซี.พี.รับบัตรส่งเสริมการลงทุนก่อน
ที่ผ่านมา ซี.พี.ได้ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 2 กำหนดสิ้นสุด วันที่ 22 ม.ค. 2567
ถ้า BOI ไม่ต่อบัตรส่งเสริมการลงทุนให้ ซี.พี. จะมีผลทำให้สิทธิประโยชน์ที่ซี.พี.จะได้รับจางหายไป
ทั้งนี้ ทาง ร.ฟ.ท. ยังไม่ได้ตัดสินใจว่า จะส่งมอบ NTP ให้ซี.พี.เลยหรือไม่ เพราะอีกทางหนึ่งก็อยู่ระหว่างรอทางสำนักงานอัยการสูงสุดตอบกลับ กรณีที่ได้ทำหนังสือถามไปว่า ตัว NTP สามารถส่งมอบให้ซี.พี.ได้โดยที่ไม่ต้องให้เอกชนได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI หรือไม่ หากอัยการสูงสุดตอบกลับมาว่า ไม่จำเป็นต้องรอบัตรส่งเสริมการลงทุน ทาง ร.ฟ.ท.ก็จะนัดประชุมภายในและหารือกับ สกพอ. เพื่อนัดหมายเวลาที่จะส่งมอบ NTP ให้ ซี.พี.เริ่มก่อสร้างต่อไป แต่หากผลลัพธ์ออกมาเป็นต้องให้เอกชนได้รับการส่งเสริมการลงทุนด้วย ร.ฟ.ท.ก็จะต้องรอต่อไป
3. มีรายงานด้วยว่า ภายในสัปดาห์นี้ คณะทำงานที่มีร.ฟ.ท. สกพอ.และที่ปรึกษา จะหารือร่วมกัน เพื่อประเมินการดำเนินการจากนี้
พร้อมทั้งคงต้องรอทาง ซี.พี.แจ้งมาอย่างเป็นทางการเรื่อง BOI ไม่ขยายเวลาแล้วจะทำอย่างไรต่อ รวมถึงรอคำตอบจากอัยการสูงสุด โดยคาดว่าจะไม่นาน
“ประเด็น ตอนนี้อยู่ที่ คำตอบของอัยการ หากเห็นว่า การออก NTP สามารถตัดเงื่อนไขส่งเสริมการลงทุนออกได้ ถือเป็นการแก้ปัญหาสำคัญโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และจะทำให้เริ่มต้นก่อสร้างได้เสียที
ซึ่งจะทำให้จัดแผนก่อสร้างมีความชัดเจน รวมไปถึงสามารถแก้ปัญหาผลกระทบต่อการก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภา ที่ต้องวางแผนร่วมกันในการก่อสร้างอุโมงค์รถไฟความเร็วสูง ลอดใต้รันเวย์ 2 ซึ่งขณะนี้ กองทัพเรือเปิดประมูลก่อสร้างรันเวย์ที่ 2 สนามบินอู่ตะเภาแล้ว และคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในเดือนต.ค. 2567” แหล่งข่าวจาก ร.ฟ.ท.กล่าว
4. ประเด็นโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ยังเกี่ยวพันกับโครงการถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงที่เป็นโครงสร้างร่วมรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงบางซื่อ - ดอนเมือง ระยะทางประมาณ 15 กม. และยังเกี่ยวพันกับการบริหารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์
4.1 โครงสร้างร่วมรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงบางซื่อ - ดอนเมือง
ล่าสุด ทราบว่า ร.ฟ.ท.กลับมามีแนวคิดจะให้ ซี.พี.เป็นผู้ดำเนินการแล้ว หลังจากก่อนหน้านี้ ร.ฟ.ท.จะทำเอง
เนื่องจากคณะทำงานประเมินว่า หากให้ ร.ฟ.ท. ทำเองจะต้องไปเสียเวลาแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ซึ่งจะใช้เวลาอีกพอสมควร
แต่หากให้ ซี.พี.เป็นผู้ดำเนินการ คาดว่า จะใช้เวลาเร็วกว่า เนื่องจากในสัญญาที่ลงนามกันไว้ระบุว่า ร.ฟ.ท. สามารถเพิ่มคำสั่งงานเปลี่ยนแปลงให้กับเอกชนได้ โดย ร.ฟ.ท.จะจ่ายเงินเพิ่มเติม 9,000 ล้านบาท รูปแบบคล้ายๆ กรณีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากงานปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม (Variation order - VO) ของรถไฟชานเมืองสายสีแดง
สำนักข่าวอิศรารายงานว่า เมื่อถามว่า การกลับมาให้ ซี.พี. เป็นผู้ก่อสร้างโครงสร้างร่วมดังกล่าว ทางเอกชนเสนออะไรมาให้ ร.ฟ.ท.พิจารณาเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนหรือไม่?
แหล่งข่าวจาก ร.ฟ.ท. ตอบว่า ทาง ซี.พี.ก็อยากให้ ร.ฟ.ท.จ่ายเงินอุดหนุนโครงการ 118,000 ล้านบาทให้เร็วขึ้น เหมือนที่เคยเสนอมาก่อนหน้านี้ แต่ทาง ร.ฟ.ท.ไม่สามารถให้ได้แน่นอน เพราะบอร์ดอีอีซีเมื่อปีที่แล้วก็มีมติไม่เห็นชอบเงื่อนไขนี้ไป อย่างไรก็ตามประเด็นนี้ยังไม่มีการคุยกันเป็นกิจลักษณะ ต้องหารือกับ สกพอ. ก่อน
มีรายงานข้อมูลเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงสร้างร่วมรถไฟความเร็วสูงทั้ง 2 สายทางคือ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน กับรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน สัญญา 4-1 ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง มีค่าก่อสร้างรวมประมาณ 20,000 ล้านบาท แยกเป็นค่างานโครงสร้างในส่วนของรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน 11,000 ล้านบาท โครงสร้างของรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน 9,000 ล้านบาท ซึ่งสัญญา 4-1 ของรถไฟไทย-จีน ตั้งวงเงินดำเนินการไว้แล้ว 4,000 ล้านบาท ดังนั้น ร.ฟ.ท.จะต้องเสนอขอเพิ่มกรอบวงเงินอีกประมาณ 5,000 ล้านบาท เพื่อจ่ายค่าก่อสร้างให้ ซึ่งวงเงินที่เพิ่มยังอยู่ภายใต้กรอบลงทุนโครงการรถไฟไทย-จีน ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 253 กม. ที่มีวงเงินลงทุน 179,413 ล้านบาท
4.2 แก้สัญญาค่าใช้สิทธิ์เข้าไปบริหารแอร์พอร์ตลิงก์
ประเด็นการแก้ไขสัญญาเรื่องค่าสิทธิเข้าไปบริหารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ซึ่งเอกชนมีการเสนอขอแบ่งจ่ายค่าใช้สิทธิ์ 10,671 ล้านบาท เป็น 7 งวด (อ้างเหตุผลกระทบจากโควิด-19)
มีรายงานว่า แนวทางการจ่ายค่าสิทธิเข้าไปบริหารแอร์พอร์ตลิงก์ล่าสุดที่มีการหารือกัน เอกชนจะจ่ายรวบงวดที่ 1-3 (ระหว่างปี 2564-2566) เป็นก้อนเดียว
ส่วนงวดที่ 4-7 จะเริ่มจ่ายในเดือน ต.ค. 2567
ขณะนี้ ก็อยู่ในกระบวนการแก้สัญญาเช่นกัน
5. ปัญหาโครงการรถไฟฟ้า 3 สนามบินล่าช้า เป็นปัญหาที่รัฐบาลปัจจุบัน
ควรเข้าไปกำกับดูแลแก้ไขอย่างจริงจัง
โครงการนี้ ลงนามสัญญากับเอกชนมาตั้งแต่ 24 ต.ค. 2562
เดิมวางแผนว่าจะเปิดให้บริการปีนี้ 2567 แต่ก็ล่าช้าเนิ่นนานมาจนปัจจุบันก็ยังไม่ได้ก่อสร้าง
ล่าสุด คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปีนี้ 2567 และจะเสร็จเปิดให้บริการได้ราวปี 2571
6. โครงการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่อีอีซี (EEC Project List) 4 โครงการใหญ่
วงเงินโครงการรวม 683,944 ล้านบาท
ได้แก่
โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) วงเงิน 224,544 ล้านบาท การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เป็นเจ้าของโครงการ และมี บจ.เอเชีย เอรา วัน (ซี.พี.) เป็นคู่สัญญาสัมปทาน ระยะเวลา 50 ปียังไม่ได้เริ่มก่อสร้างเลย และจะต้องมีการแก้สัญญาด้วย
โครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 290,000 ล้านบาท มีกองทัพเรือ (ทร.) เป็นเจ้าของโครงการ และมี บจ.อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (UTA) ที่มีบมจ.การบินกรุงเทพ (บางกอกแอร์เวย์ส), บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) และ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น เป็นผู้ร่วมลงทุน ตอนนี้กำหนดวันที่จะมีการวางศิลาฤกษ์แล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้
โครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ท่าเทียบเรือ F มีการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เป็นเจ้าของโครงการ และมี บจ.จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนลเทอร์มินอล ประกอบด้วย บมจ. กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี, บจ.พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล และบจ.เชค โอเวอร์ซี อินฟราสตรัคเจอร์ โฮลดิ้ง ในฐานะเอกชนร่วมลงทุน มีความคืบหน้าในภาพรวมที่ 14.84% ช้ากว่าแผน 1.81%
โครงการท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 วงเงิน 64,000 ล้านบาท มีการนิคมอุตสาหกรรม (กนอ.) เป็นเจ้าของโครงการ และมีบจ.กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอล (GMTP) ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มกิจการร่วมค้ากัลฟ์ และบมจ. พีทีที แทงค์เทอร์มินัล เป็นเอกชนคู่สัญญา ขณะนี้งานช่วงที่หนึ่ง การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ งานขุดลอกและถมทะเล งานระบบสาธารณูปโภค งานอุปกรณ์เดินเรือและการพัฒนาท่าเรือก๊าซบนพื้นที่ 200 ไร่ วงเงินลงทุน 47,900 ล้านบาทคืบหน้าแล้ว 69.64%
ทั้งหมด รัฐบาลปัจจุบันควรเข้าไปกำกับดูแลอย่างจริงจัง ไม่ถือว่าเป็นงานโครงการของรัฐบาลชุดที่แล้ว เพราะรัฐบาลชุดนี้ก็เข้ามาต่อยอดการพัฒนาที่ต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติส่วนรวม หากอะไรมีปัญหาก็ต้องจัดการให้เด็ดขาด เพื่อความชัดเจน ไม่ให้รัฐเสียเปรียบ และไม่ให้ประเทศชาติเสียโอกาส
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี