เมื่อวันพุธที่ 24 มกราคม 2567 เวลาประมาณ 14.00 น. หลังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 1 คดีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีว่าเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทไอทีวีในวันสมัครรับเลือกตั้ง แต่ไม่พ้นสมาชิกภาพ สส. เนื่องจากบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ไม่ได้ประกอบกิจการหรือมีรายได้จากกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนวิทยุโทรทัศน์
ความครั้งนั้นเป็นคุณแก่ “พิธาคิโอ/พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”ไม่เข้าข่ายความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบกับมาตรา 98 (3)
เหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงอื้ออึงของกลุ่มผู้สนับสนุน “พิธาคิโอ/พิธา ลิ้มเจรญรัตน์” (ด้อมส้ม)พร้อมเสียงสำรอกสำรากแห่งความไม่เข้าใจหรือแกล้งไม่เข้าใจเกี่ยวกับเก้าอี้นายกรัฐมนตรีที่ยังเชื่อยังงมงายว่าหลังการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคการเมืองที่ได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งสมควรเป็นนายกรัฐมนตรีตามฉันทานุมัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 52 ล้านเสียง แต่เลือก พิธาคิโอ/พิธาลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกลเพียง 14 ล้านเสียง
ทว่ากรรมไม่เคยหลอกลวงใคร ยังตามมาชี้เจตนาของผู้ก่อกรรมเสมอ ดังพุทธวจนที่ว่า “เจตนาหํ กมฺมํวทามิ เจตนานั่นแหละเป็นกรรม เมื่อมีเจตนาแล้ว บุคคลย่อมกระทำกรรมโดยทางกาย วาจา ใจ”
ภาษิตนี้เป็นหลักกฎหมายอาญามีไว้สำหรับพิจารณาพฤติการณ์ในการกระทำของจำเลยเพื่อกำหนดฐานความผิดของจำเลยโดยพิจารณาว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดหรือไม่ และยังใช้แยกเจตนายกเลิกออกจากเจตนาแก้ไข เพราะเจตนายกเลิกย่อมมีพฤติกรรมที่หนักกว่าเจตนาแก้ไข
ทั้งนี้ เนื่องจากเจตนาเป็นเรื่องที่อยู่ภายในจิตใจของผู้กระทำไม่มีใครหยั่งรู้ได้ ในการวินิจฉัยหรือพิสูจน์ว่าผู้กระทำมีเจตนายกเลิกหรือเพียงแต่มีเจตนาแก้ไขเท่านั้น
จึงต้องถือหลักว่า “การกระทำที่แสดงออกมาภายนอกเป็นเครื่องชี้ถึงสภาพจิตใจของผู้กระทำ”
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” นั่นเอง
ที่กล่าวมาทั้งหมดเพียงเพื่อจะตอกย้ำพฤติกรรมว่าที่สุดเจตนาประพฤติชั่วร้ายแรงก็ไม่พ้นคำวินิจฉัยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วยมติเอกฉันท์ กรณีที่ “พรรคก้าวไกล” เคลื่อนไหวเรียกร้องกรณีแก้ไข/ยกเลิก ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งเป็นเกราะป้องกันการจาบจ้วงขู่อาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ องค์พระมหากษัตริย์ รวมทั้งเรียกร้องให้นำบทบัญญัติดังกล่าวออกจากหมวด 2 ที่ว่าด้วยพระมหากษัตริย์
“ด้วยพฤติกรรมและท่าทีที่ผ่านมาของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล” ทั้งการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง ทั้งการปราศรัยบนเวทีชุมนุมทางการเมืองต่างกรรมต่างวาระ ทั้งการอภิปรายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรของ “พิธาคิโอ/พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และสมาชิกพรรคก้าวไกล” โดยเฉพาะในประเด็นการจัดวางพระราชอำนาจและพระราชสถานะขององค์พระมหากษัตริย์ใหม่ ย่อมเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ศาลรัฐธรรมนูญจึงสั่งการ “เลิกการกระทำเลิกการแสดงความคิดเห็น เพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ไขมาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคสอง
บทบัญญัติมาตรา 49 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 บัญญัติว่า “บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้ผู้ใดทราบว่ามีการกระทำตามวรรคหนึ่ง ย่อมมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวได้
ในกรณีที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ หรือไม่ดำเนินการภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ ผู้ร้องขอจะยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้
การดำเนินการตามมาตรานี้ไม่กระทบต่อการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการตามวรรคหนึ่ง
การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองจึงเป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
ฉะนั้นครั้งนี้มติเอกฉันท์ที่ไม่เป็นคุณแก่พิธาคิโอ/พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะยอมรับความจริงได้โดยดุษณีีหรือเคลื่อนไหวกล่าวอ้างว่าด้วย “นิติสงคราม” อีกครั้ง
ศาลรัฐธรรมนูญตอกย้ำอีกครั้งยกเลิก/แก้ไข มาตรา 112 เท่ากับล้มล้างการปกครอง หลังเคยบอกว่า “ปฏิรูปคือล้มล้าง”
จากนี้ต่อไปคือร้องยุบพรรคก้าวไกลโดยกกต.
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี