พบการรายงานข่าวแบบพาดหัวข่าวใหญ่โตทำนองว่า“จับนักข่าวและช่างภาพที่ไปถ่ายรูปทำข่าว” ตำรวจดูเลวไปในฉับพลัน อะไรวะ คนเขาไปทำข่าว ไปจับเขาทำไม
1) จะเข้าใจเรื่องนี้ ต้องย้อนดูข่าวเก่า เมื่อเวลา 17.30 น. ของวันที่ 28 มี.ค. 2566 ครับ ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า พ.ต.อ.นภัสพงษ์ โฆษิตสุริยมณี ผกก.สน.พระราชวัง นำกำลังสายตรวจเข้าจับกุมตัว นายศุทธวีร์ สร้อยคำ หรือบังเอิญ อายุ 24 ปี ชาว จ.ขอนแก่น โดยจับกุมตัวได้ขณะที่ผู้ต้องหากำลังพ่นสีสเปรย์สีดำใส่รั้วกำแพง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กทม.
การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจาก ขณะที่เจ้าหน้าที่สายตรวจสน.พระราชวัง กำลังลาดตระเวนตรวจตรารอบรั้ววัดพระแก้วพบผู้ต้องหา กำลังใช้สีสเปรย์สีดำพ่นข้อความ 112 ใส่กำแพงวัด จึงนำกำลังเข้าควบคุมตัว นำส่งพนักงานสอบสวน สน.พระราชวัง ดำเนินคดี
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบประวัติของผู้ต้องหาพบว่า เจ้าตัวเป็นศิลปินอิสระ สังกัดกลุ่มศิลปะปลดแอก มักใช้ Facebook ส่วนตัวที่มีชื่อว่า Suttawee Soikham (ปกติแล้วเป็นคนอารมณ์ดี) และมี Facebook ส่วนตัวที่มีชื่อว่า “บังเอิญ คนจริง” โพสต์ข้อความทางการเมืองเข้าข่ายละเมิดกฎหมายม.112 และกฎหมาย ม.116 อยู่หลายครั้ง แต่ยังไม่เคยถูกจับกุมตัวดำเนินคดี มีผู้สนใจและติดตามเพจเป็นจำนวนมาก
2) ส่วนวานนี้ (13 ก.พ. 2567) นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน พร้อมด้วย น.ส.คุ้มเกล้า ส่งสมบูรณ์ ทนายความจากศูนย์ทนายความฯ เดินทางมาศาล กรณีที่พนักงานสอบสวน สน.พระราชวัง เตรียมยื่นคำร้องฝากขัง นายณัฐพล เมฆโสภณผู้สื่อข่าวสำนักข่าวประชาไท กับ นายณัฐพล พันธ์พงส์สานนท์นักข่าวและช่างภาพอิสระ ที่ถูกจับกุมตามหมายจับของศาลอาญา ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 โดยพนักงานสอบสวนสน.พระราชวัง ในคดีตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน และสนับสนุนผู้อื่นการกระทำผิด
น.ส.คุ้มเกล้า กล่าวว่า หมายจับออกโดยศาลอาญาเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 เป็นการออกหมายจับหลังจากเหตุเกิดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2566 จากกรณีที่มีนักกิจกรรมได้พ่นสีข้อความเชิงสัญลักษณ์บนกำแพงวัดพระเเก้วซึ่งคดีมีการฟ้องเเล้ว อยู่ระหว่างสืบพยาน เเต่กลับมีการออกหมายจับนักข่าว ช่างภาพจากสำนักข่าวประชาไท เเละสำนักข่าวออนไลน์เเห่งหนึ่ง ทั้งที่เวลาผ่านไปกว่า 1 ปี โดยข้อหาที่โดนเเจ้งเป็นผู้สนับสนุนทำลายโบราณสถาน ตามพ.ร.บ.โบราณสถาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 7 เเสนบาท ซึ่งในการลงโทษฐานสนับสนุนจะไม่สูงเท่าตัวการ โดยผู้สนับสนุนจะมีโทษ 3 ใน 4 ของโทษเต็มซึ่งถือว่ายังเป็นโทษที่สูง
ทั้งนี้ ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ โดยให้การว่า เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนเเละช่างภาพเพื่อนำเสนอข้อเท็จจริง เพื่อที่จะนำพิจารณาในชั้นสอบสวนจนถึงชั้นพนักงานอัยการต่อไป เมื่อวานนี้ทางทนายความได้ขอยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวในชั้นสอบสวน ซึ่งมองว่า จากข้อหาความผิดในคดีเเละไม่มีพฤติการณ์หลบหนี โดยการออกหมายจับไม่ใช่ออกเพราะจะหลบหนี เเต่เป็นการออกหมายจับเพราะฐานความผิดโทษเกิน 3 ปี ซึ่งพนักงานสอบสวนมีเหตุที่จะให้ประกันในชั้นสอบสวนได้ เเต่กลับไม่ให้ประกันเเละนำตัวมาฝากขัง ซึ่งการฝากขังควรต้องมีเหตุจึงฝากขังได้ เเต่คดีนี้ผ่านมา 1 ปีการสืบสวนสอบสวนควรต้องเเล้วเสร็จไปเเล้ว ก็เป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหาที่จะมีการยื่นคัดค้านการฝากขัง ซึ่งเเม้อาจจะใช้ระยะเวลานานบ้างในวันนี้เเต่ผู้ต้องหาประสงค์ให้ยื่นเพราะไม่เห็นด้วยกับการดำเนินคดีฝากขังจากการทำหน้าที่นักข่าวในครั้งนี้ เเต่ทนายก็จะถามความยินยอมว่าจะขอให้ทนายคัดค้านการฝากขังหรือยื่นประกันตัวเลย
เมื่อถามถึงเหตุที่พนักงานสอบสวนไม่ให้ประกันตัว น.ส.คุ้มเกล้า กล่าวว่า พนักงานสอบสวนระบุว่ามีหมายจับเเละคดีมีอัตราโทษจำคุกเกิน 3 ปี จึงให้เป็นอำนาจศาลพิจารณา ซึ่งการดำเนินคดีครั้งนี้ พนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนกลับมองว่า ผู้สื่อข่าวไปทำข่าวเป็นผู้สนับสนุน สื่อมวลชนเองควรต้องตั้งคำถามกับพนักงานสอบสวนด้วยและคดีนี้ตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาไม่ถูกต้องตามกฎหมายเพราะเหตุเกิดในพื้นที่ สน.พระราชวัง สถานที่คุมตัวควรเป็นที่นั่นเพราะมันเกี่ยวกับสิทธิผู้ต้องหา เช่น ญาติทราบก็สามารถติดตามได้ เเต่นี่ถูกเเยกออกไปเป็น 2 สน.คือ สน.ฉลองกรุงอีกที่ก็ไม่ทราบว่าใช้อำนาจอะไรในการเเยก การคุมตัวทั้งที่ สน.ฉลองกรุง ไม่มีอำนาจสอบสวนด้วยทั้งที่เรื่องนี้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน
“ตนคิดว่า วงการวิชาชีพสื่อควรตั้งคำถามกับพนักงานสอบสวนในพื้นที่ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติถึงแนวปฏิบัติในการดำเนินคดี กับผู้สื่อข่าวเพราะในปัจจุบันมีทั้งผู้สื่อข่าวที่มีสังกัดและผู้สื่อข่าวอิสระ ว่าการยืนยันพฤติการณ์การทำข่าวจะเป็นอย่างไรต่อไปมันจะกลายเป็นภาระ ของตัวบุคคลนั้นในการต่อสู้คดีอาญา”
3) ด้านนายกฤษฎางค์ กล่าวว่าคดีนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาดที่รัฐบาลและกระบวนการยุติธรรมจะต้องรับผิดชอบเต็มที่ จริงอยู่ที่มีหมายจับแต่หมายจับออกครบ 1 ปีแล้ว จนคดีที่นักกิจกรรมไปพ่นสีจะมีการสืบพยาน ฐานความผิดก็ไม่ได้รุนแรง ใช้เวลาสืบกว่า 6-7 เดือน แล้วค่อยออกหมายจับ เเล้วก็ไม่ไปจับ เรื่องนี้สื่อมวลชนควรเรียกร้องไปยังรัฐบาล เพราะตำรวจก็อยู่ภายใต้รัฐบาลว่า ทำไมทำเเบบนี้ยังจำกันได้หรือไม่ว่าอนุสาวรีย์ปราบกบฏหลักสี่ มันหายไป 7-8 ปี แล้วแต่ตำรวจยังไม่ไปตามจับสักที ทั้งที่หลักฐานข้อมูลก็มีจำนวนมาก ถ้ายังทำแบบนี้คุณก็จะเห็นว่าเป็นการดำเนินกระบวนการยุติธรรมแบบสองมาตรฐาน
“คดีนี้โทษเจ็ดปีก็จริง แต่ไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำ ศาลจะลงโทษเเค่ปรับก็ได้ และนักข่าวไม่ใช่โจรผู้ร้าย ทีโจรผู้ร้ายกลับให้ประกัน คดีฆ่ากันที่ชลบุรีตนไม่ได้ว่าเขาผิดเเต่ให้ประกันตัวไป 8 เเสนบาท เเต่ทำไมนักข่าวกลับไม่ให้เขาประกันตัว เป็นคำถามที่ตนอยากให้ผู้สื่อข่าวทุกคนรักษาสิทธิ์ของตัวเอง รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าสิทธิของสื่อมวลชนมีเสรีภาพในการทำข่าว เพราะหาก สื่อมวลชนไม่มีเสรีภาพจมอยู่ในความหวาดกลัวประชาชนก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องหยามเกียรติสื่อมวลชนไทย” นายกฤษฎางค์ กล่าว
4) หลังตำรวจ คุมตัวผู้ต้องหาไปขออำนาจศาลเพื่อฝากขัง ผู้ต้องหาทั้งสองให้การปฏิเสธและขอคัดค้านการฝากขัง โดยตำรวจชี้แจงเหตุผลต่อศาลในการขอฝากขังว่า จะต้องสอบสวนพนักงานสอบสวนทั้ง 5 ปาก และจะมีพยานเพิ่มเติมศาลเห็นว่า สมควรรับฝากขังไว้ ให้ยกคำร้องคัดค้านการฝากขัง
5) น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ สส.บัญชีรายชื่อ รองโฆษกพรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.พระราชวัง จับกุมตัวผู้สื่อข่าวภาคสนาม สำนักข่าวประชาไท และช่างภาพอิสระ ในข้อกล่าวหา “เป็นผู้สนับสนุนทำให้โบราณสถานเสียหายจากการขีดเขียนข้อความ” จะมีการนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม กมธ. อย่างไรบ้างว่า ในวันที่ 15 ก.พ.ที่จะถึงนี้ จะมีการประชุม กมธ. ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงมากในสังคม ดังนั้น เราคิดว่าควรใช้ กมธ.เป็นเวทีในการถกเถียงกัน ว่าความเหมาะสม ทำได้หรือทำไม่ได้ อยู่ตรงไหน โดยจะมีการเชิญสำนักข่าวประชาไท ที่เป็นคู่กรณีกับรัฐและทางตำรวจ สำคัญที่สุด คือ เราอยากเห็นจุดยืนของสมาคมสื่อทั้งหมด อยากใช้เวทีของ กมธ. ให้ทั้ง 3 ฝ่ายหลักๆที่เกี่ยวข้อง มาพูดคุยถึงจุดยืน แน่นอนว่า หลังจากนี้ไม่ใครการันตีได้ว่า เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ หรือจะเกิดขึ้นกับใคร ไม่ว่าจะเป็นผู้สื่อข่าวที่มีต้นสังกัด พลเมือง หรืออิสระ ก็ตามดังนั้น อย่างน้อยเวที กมธ.จะเป็นจุดเริ่มต้นในการที่ทำให้เห็นหลักว่า หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก เราจะมีวิธีการรับมือหรือปฏิบัติกันต่อไปอย่างไร นอกจากนี้ทาง กมธ.ได้มีการประสานไปยังสำนักข่าวประชาไทแล้ว ซึ่งสำนักข่าวประชาไทก็ยินดีที่จะเข้ามาพูดคุย แต่สิ่งที่ กมธ.ทำมากกว่าเป็นตัวกลางให้ทุกฝ่าย ที่ไม่มีโอกาสพูดคุยกัน
6) เจ้าหน้าที่ตำรวจ เผยเบื้องหลังและพยานหลักฐานก่อนตัดสินใจเข้าจับกุมดำเนินคดี นายณัฐพล เมฆโสภณ หรือ เป้ ผู้สื่อข่าวของ “ประชาไท” ตามหมายจับของศาลอาญา ลงวันที่ 22 พ.ค.2566 ในข้อหาเป็นผู้สนับสนุนทำให้โบราณสถานเสียหายจากการขีดเขียนข้อความ ซึ่งก็คือการพ่นข้อความคัดค้านมาตรา 112 ที่กำแพงวัดพระแก้ว
โดยหลักฐานของตำรวจ เป็นภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด ที่ยืนยันว่า นายณัฐพล ที่อ้างว่าทำหน้าที่สื่อมวลชนนั้น แท้ที่จริงได้ร่วมประชุมวางแผนกับกลุ่มผู้ก่อเหตุพ่นสีบริเวณกำแพงวัดพระแก้ว ตั้งแต่ก่อนก่อเหตุ 1 วัน
จากหลักฐานกล้องวงจรปิด พบว่า ช่วงเย็นถึงค่ำก่อนก่อเหตุพ่นสี นายณัฐพล พร้อมพวก ซึ่งมีบางคนร่วมก่อเหตุพ่นสีที่กำแพงวัดพระแก้ว ได้ไปพบปะหารือเพื่อวางแผนและเดินสำรวจสถานที่ก่อเหตุ ที่บริเวณหน้าศาลฎีกา สนามหลวง จากนั้น ในวันเกิดเหตุ คนกลุ่มเดิมได้ไปรวมตัวกันเวลา 16.00 น. กระทั่งเวลา 17.40 - 18.00 น.ทุกคนเข้าประจำจุดและทำหน้าที่ของตนเอง
ระหว่างที่นายศุทธวีร์ ผู้ต้องหาที่พ่นสี ดำเนินการก่อเหตุ โดย นายณัฐพล มีหน้าที่ถ่ายภาพ ส่วนเพื่อนร่วมกลุ่มอีกคนเป็นผู้หญิง ทำหน้าที่ไลฟ์สด อีกคนหนึ่งเป็นชาย ทำหน้าที่ถ่ายวีดีโอ / เพื่อนร่วมกลุ่มที่เป็นชายอีกคน ทำหน้าที่ถ่ายภาพนิ่ง / และสุดท้าย คือ ตะวัน หรือ ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ ที่เพิ่งมีหมายจับคุกคามขบวนเสด็จ เป็นผู้กระจายคลิป และภาพต่างๆ โซเชียลมีเดีย
ภาพจากกล้องวงจรปิด ชัดเจนว่า นายณัฐพล เข้าที่เกิดเหตุก่อนที่จะมีการก่อเหตุ และมีพฤติกรรมรอถ่ายภาพที่ นายศุทธวีร์ เตรียมดำเนินการ และกำลังดำเนินการ
เพราะปกติหากไม่ทราบแผนมาก่อน จะไม่สามารถนำอุปกรณ์มาถือรอถ่ายภาพขณะก่อเหตุได้เลย และยังมีภาพจากกล้องวงจรปิดการนัดพบปะกันของคนกลุ่มนี้ล่วงหน้าด้วย
สรุป : น่าสนใจนะครับ ว่าทำไม ทนายความและ สส. และสื่อหลายสำนัก ที่มีท่าทีไปในแนวทางเดียวกับพรรคก้าวไกลถึงออกมา “ตีฟู” เรื่องนี้กันมาก โดยพาดหัวข่าวคลุมเครือให้คนเข้าใจว่า จับนักข่าวและช่างภาพที่ไปทำข่าว โดยไม่เน้นไม่ย้ำ “พิรุธ” ที่ตำรวจแสดง
พวกเขา “เล่นใหญ่” เพื่ออะไร เพื่อกลบพื้นที่ข่าว“บ้านเก่าคุณยาย” กับเรื่อง “คุกคามขบวนเสด็จ” กรมสมเด็จพระเทพรัตนฯ ที่ประชาชนกำลังออกมาแสดงจุดยืนถึงความรัก ความจงรักภักดี และปฏิเสธพฤติกรรมเลวทราม เรื่องการคุกคามขบวนเสด็จนี้อยู่ ใช่หรือไม่?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี