แนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา...nn ทางแห่งความเจริญคือ การพิจารณา การพิจารณานั้นเป็นการหยุดยั้งชั่งใจก่อนที่จะปฏิบัติการใดลงไป เสมือนกับได้ปรึกษากับตนเองก่อน หากทำสิ่งใดโดยมิได้พิจารณาแล้ว ก็อาจจะตกเป็นเหยื่อแห่งอารมณ์ บังเกิดความประมาทขึ้น อันจะเป็นผลเสียแก่กิจการนั้นๆ ได้... (ความตอนหนึ่งจากพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัย 15 กุมภาพันธ์ 2501)...
nn โรเบิร์ต เอฟ. โกเดคเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย นัดแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและทีมงานของแพทองธารไปพบปะที่บ้านพักทูต ถนนวิทยุ เมื่อวันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ ข่าวว่างานนี้ แพทองธาร ฟุ้งว่าจะดันงานสงกรานต์ให้ดังกระหึ่มโลกแบบชนิดที่ว่าจัดสงกรานต์ยาวนานหนึ่งเดือน แล้วก็เชิญ โกเดค เข้าร่วมงานสงกรานต์มหัศจรรย์ด้วย น่าสงสัยว่า โกเดค คงไม่เคยรู้จักงานสงกรานต์ในประเทศไทยมาก่อนเลยในชีวิต จึงต้องรอให้ แพทองธาร เชิญไปร่วมเล่นสงกรานต์ water festival ...
nn แต่ที่หลายคนตั้งคำถามเหมือนๆ กันก็คือ โกเดค ถามแพทองธารหรือไม่ว่าทำไมพ่อของแพทองธารซึ่งมีสถานภาพเป็นนักโทษ แต่เหตุใดไม่ต้องอยู่ในคุก เอ่อ! ว่าแต่ว่าโกเดครู้หรือเปล่าว่าพ่อของแพทองธารเป็นนักโทษ หรือว่าโกเดคอาจจะไม่รู้มาก่อนก็ได้ เพราะเชื่อว่าหากโกเดครู้ โกเดคจะต้องถามว่าทำไมนักโทษไทยชื่อทักษิณ ชินวัตร จึงไม่ต้องอยู่ในคุก หรือว่าประเด็นที่พูดคุยกันระหว่างหัวหน้าพรรคเพื่อไทยกับทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย จะเป็นเรื่องกรณีศึกษานักโทษไม่ต้องอยู่ในคุก ประเด็นนี้สหรัฐฯ คงจะสนใจมากก็เป็นได้ เพราะเรื่องแบบนี้น่าจะไม่เคยมีในสหรัฐฯ มาก่อน และสหรัฐฯ อาจกำลังศึกษาแนวทางนี้เพื่อนำไปใช้เป็นpilot project ในสหรัฐฯ แต่มีคนบางกลุ่มแซวว่า หรือว่าโกเดคถามแพทองธารว่า มีวิธีการอย่างไรที่สามารถเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยได้ ทั้งๆ ที่เกรดสมัยมัธยมปลายน้อยมาก แล้วทำอย่างไรจึงสามารถทำคะแนนได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์ใจในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย oh! very surprise, how can you do that?...
nnมีคนแซวหนักกว่านั้นอีกคือ แพทองธาร ชวน โกเดค ร่วมแข่งสวมกางเกงช้างหรือเปล่า โกเดครู้จักกางเกงช้างหรือเปล่า ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง โกเดคเคยเห็นกางเกงช้างหรือเปล่า แล้วโกเดคจะเข้าร่วมแข่งขันสวมกางเกงช้างด้วยไหม อยากรู้ว่าในหนึ่งนาที โกเดคจะสวมกางเกงช้างได้กี่สิบตัว นี่คือ Soft Power ของไทยที่มาจากมันสมองแบบ Soft Soft ของแพทองธาร...
nn พรรคร่วมรัฐบาลจัดงานเลี้ยง ใช้ชื่องานว่า ร่วมมือร่วมใจ รัฐบาลประชาชน ได้ยินเศรษฐา ทวีสินนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้แข็งปึ้ก เพราะมีเสียง สส. 314 เสียง และบอกว่าจะต้องนัดสังสรรค์กันแบบนี้บ่อยๆ เพื่อจะได้คุ้นหน้าคุ้นตาสนิทสนมกลมเกลียวกันมากขึ้น แล้วก็ได้ยินเสียงเสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย บอกว่าครั้งหน้าขอเป็นเจ้าภาพ แล้วก็ได้ยินเสียงเสี่ยแป้ง เอ๊ย! เสี่ยธรรมนัส พรหมเผ่า จากพรรคพลังประชารัฐ บอกว่าครั้งต่อไปพลังประชารัฐเป็นเจ้าภาพ แต่เอ๊ะ! งานนี้บิ๊กป้อม-ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐไปไหนหนอ ไม่เห็นไปร่วมงานเลย หรือว่างานนี้มีเราไม่มีลุง...
nn มีการตั้งประเด็นว่าเสียง 314 เสียงของพรรคร่วมรัฐบาลที่เศรษฐาคุยว่าแน่นปึ้ก แข็งปั๋ง จะอ่อนยวบลงทันตาหรือไม่ หากมีการตั้งคำถามว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะสนับสนุนนโยบายแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต หัวละหนึ่งหมื่นบาทหรือไม่ อย่าลืมนะว่าตอนหาเสียงเลือกตั้ง สส. นโยบายนี้เป็นของพรรคเพื่อไทย แต่เมื่อนโยบายนี้เจอปัญหาหนักๆ มากๆ เข้า พรรคเพื่อไทยก็บอกว่านี่คือนโยบายรัฐบาล เพราะได้แถลงต่อรัฐสภาไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน หากนโยบายนี้ผิดกฎหมาย พรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องติดคุกด้วยกันด้วยนะ อย่าเอาตัวรอดแล้วปล่อยให้เพื่อไทยรับคุกไปเพียงลำพังแล้วกัน...
nn ตำรวจไทยยุค ผบ.ตร.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้เติบโตในอาชีพตำรวจแบบก้าวข้าม ก้าวข้าม แล้วกระโดดข้าม มีความน่าอัศจรรย์ใจไปอีกแบบหนึ่ง เพราะว่าเป็นยุคที่ตำรวจสามารถดองคดีใหญ่ยักษ์ไว้ได้อย่างมหัศจรรย์พันลึก ซึ่งหนึ่งในคดียักษ์ที่ว่าคือกรณีตำรวจถูกฆ่าตาย ในบ้านของกำนันนก-ประวีณ จันทร์คล้าย ผู้ยิ่งใหญ่แห่งนครปฐม เรื่องนี้เงียบเป็นเป่าสาก ทั้งๆ ที่เป็นคดีครึกโครมมากในสังคมไทย เหตุเกิดเมื่อเดือนกันยายน 2566 ตำรวจที่ถูกยิงตายชื่อ ศิวกร สายบัว หรือสารวัตรแบงค์ งานนี้ถูกสังคมวิจารณ์ว่าน่าจะตายฟรี ส่วนเรื่องส่วยตำรวจ ส่วยทางหลวง ก็จะยังฟูฟ่องต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีการยิงตำรวจตายอีกครั้ง เรื่องก็จะกลับมาดังอีกรอบ แล้วก็จะเงียบหายไปเมื่อเวลาผ่านพ้นไป เรื่องร้ายๆ เช่นนี้จะเวียนวน วนเวียนในประเทศไทยตลอดไป ตราบเท่าที่ตำรวจไทยส่วนหนึ่งยังคงมีพฤติกรรมพัวพันกับมาเฟีย...
nn ตำรวจไทยยังมีเรื่องตลกให้ขำได้ตลอดปีตลอดชาติ ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหนตำรวจไทยก็ยังคงสร้างเรื่องตลกให้คนไทยได้ขบขันไม่ต่างกัน อย่างล่าสุดเรื่องการควบคุมตัวตะวัน-ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หลังศาลอนุญาตให้ออกหมายจับ เรื่องนี้ถูกตั้งคำถามว่าตำรวจทำไมทำอะไรเงอะๆ งะๆ กล้าๆ กลัวๆ ทั้งๆ ที่บุคคลดังกล่าวทำผิดกฎหมายซ้ำๆ ซากๆ ในคดีเกี่ยวกับมาตรา 112 จนทำให้สังคมตั้งคำถามว่าวงการตำรวจกำลังเล่นเกมอะไรอยู่หรือเปล่า งัดกันเองหรือเปล่า หรือมีตำรวจคนไหนตั้งใจเข้าข้างคนกระทำผิดหรือเปล่า เพราะว่ากว่าคดีนี้จะคืบหน้าได้แต่ละเซนติเมตร ดูแล้วช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน ไม่เห็นตำรวจทำคดีเร็วเหมือนเรื่องบางเรื่อง จนทำให้เกิดคำถามว่าเวลามีการกระทำผิดมาตรา 112 ตำรวจจะลังเลมากกว่าปกติ เพราะตำรวจไม่อยากทำคดีนี้ หรือต้องการดึงคดีนี้ไว้เป็นเกมการเมือง...
nn อ้อ! เวลานักข่าวเรียกชื่อ ตะวัน ไม่ต้องเรียกว่าน้องแล้วนะครับ เพราะในความจริงนั้นตะวันอายุเกิน 20 ปีไปมากแล้ว นักข่าวบางสำนักเขียนข่าวตะวันกับพวกราวกับว่าคนกลุ่มนี้ยังเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ขอย้ำว่าตะวันอายุเกิน 20 ปีแล้ว เพราะฉะนั้นเวลา ตะวัน ทำความผิดก็ต้องระบุชื่อให้ชัดไปเลย อย่าทำให้สังคมสับสนจนคิดว่า ตะวัน เป็นเด็กนักเรียนมัธยมศึกษา 2 หรือ 3 ซึ่งไม่ใช่เลย ขอย้ำว่าไม่ใช่เลย เพราะตะวันอายุเกิน 20 ปีแล้ว...
nn ส่วนคำถามว่าแบมคือใคร ตอบว่าชื่อจริงคืออรวรรณ ภู่พงษ์ รายนี้ก็อายุเกิน 20 ปีแล้วเช่นกัน ไม่ใช่เด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา 2 เพราะฉะนั้นเวลานำเสนอข่าวการกระทำผิดของคนกลุ่มนี้สามารถระบุชื่อจริง นามสกุลจริงได้ทันที เพราะไม่ใช่เด็กอายุ 5-6 ขวบ การที่คนอายุเกิน
20 ปี ทำผิดซ้ำๆ ซากๆ ในเรื่องเกี่ยวกับมาตรา 112 ย่อมแสดงให้เห็นชัดว่าเขามีความคิดความเชื่ออย่างไรกับสถาบันพระมหากษัตริย์...
nn ส่วนเรื่องที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกลอ้างว่าเวลามองตาตะวันแล้วเห็นดวงตาของลูกสาวพิธาอยู่ในดวงตาของตะวัน ก็ทำให้เกิดคำถามว่า แล้วทำไมพิธาไม่ให้ลูกสาวตัวเองออกมาเคลื่อนไหวเหมือนตะวันกับแบม ทำไมพิธาเอาแต่ประกันตัวแบมกับตะวัน เวลาสองรายนี้ทำผิดกฎหมายแล้วถูกตำรวจควบคุมตัว อันที่จริงแบมกับตะวันน่าจะมีคำถามกับพิธาบ้างว่าทำไมไม่ให้ลูกสาวของพิธาไปร่วมชุมนุมต่อต้านหรือล้มล้างมาตรา 112 บ้าง หากพิธาเห็นดวงตาของลูกสาวตนเองอยู่ในดวงตาของตะวันจริงๆก็ต้องนำลูกสาวของตนเองไปประท้วงต่อต้าน และยกเลิกมาตรา 112 ด้วย ทำไมพิธาดีแต่ค่อยช่วยประกันตัวคนทำผิดคดีมาตรา 112 หรือเพราะว่าพิธาสนับสนุนให้ล้มล้างมาตรา 112 มาโดยตลอด...
nn กรณีตำรวจจับตัวนักข่าวของประชาไท และช่างภาพของ space bar เมื่อสองวันก่อน โดยอ้างว่ามีหลักฐานมัดตัวนักข่าวทั้งสองคนในคดีบุคคลใช้สีสเปรย์พ่นสร้างความสกปรกต่อโบราณสถาน (กำแพงพระบรมมหาราชวังและวัดพระแก้ว) เรื่องนี้ทำให้สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยออกแถลงการณ์ทำนองคัดค้านการจับกุมตัวนักข่าว ก็ทำให้สังคมเกิดคำถามว่า ตำรวจจับนักข่าวไม่ได้หรือ ธรรมกรขออนุญาตตอบคำถามนี้ว่า ตำรวจมีสิทธิจับตัวนักข่าวได้เสมอ หากนักข่าวทำผิดกฎหมาย นักข่าวไม่ใช่อภิสิทธิ์ชน เมื่อทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกลงโทษโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ แต่คำถามที่ต้องถามตำรวจกลับคือ ทำไมปล่อยให้คดีนี้เกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว แต่กลับเพิ่งมาติดตามจับตัวนักข่าวสองคนเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา แล้วที่ผ่านมารออะไร ทำไมไม่จับกุมในช่วงเกิดคดีใหม่ๆ หรือจะอ้างว่าเพิ่งมีพยานหลักฐานแน่นหนามัดตัวนักข่าวได้ แต่ก็ต้องถามกลับว่า เมื่อมีหลักฐานแล้วทำไมไม่แสดงหลักฐานให้สาธารณชนได้รับทราบ ทำไมจึงต้องส่งตำรวจนอกเครื่องแบบไปตามจับตัวนักข่าวทั้งสองคนทั้งๆ ที่นักข่าวทั้งสองก็ไม่ได้มีพฤติกรรมหลบหนีคดีแต่อย่างใด เรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามเชิงลบต่อการทำงานของตำรวจอย่างมาก แต่ขณะเดียวกันก็มีคำถามไปยังสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ด้วยว่า หากนักข่าวกระทำความผิดจริง สมาคมนักข่าวฯ จะรับผิดชอบกับการกระทำผิดของนักข่าวหรือไม่ ขอตอบว่า สมาคมนักข่าวฯ ไม่มีทางรับผิดชอบในความผิดที่นักข่าวได้กระทำขึ้น โดยอ้างว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของนักข่าว แต่สมาคมนักข่าวฯ จะอ้างเพียงว่าการที่นักข่าวถูกตำรวจจับ เป็นการละเมิดการทำหน้าที่ของสื่อฯและเป็นการจงใจละเมิดการรับรู้ข่าวสารของประชาชนเท่านั้น แต่ไม่รับผิดชอบกรณีนักข่าวกระทำผิดกฎหมาย ...nn
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี