เพลงเพื่อชีวิตที่ใช้ปลุกระดมคนหนุ่มสาวในรั้วมหาวิทยาลัยให้ฮึกเหิม ที่ว่า “ตายสิบเกิดแสนมาทดแทนผู้สูญดับ” ได้ยินกันมาตั้งแต่ครั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ปลุกระดมนักศึกษาและประชาชนที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐกดขี่ข่มเหงรังแกให้เข้าป่าจับปืนต่อสู้กับอำนาจรัฐ โดยปลุกระดมว่า มีคนตายเพราะต่อสู้เพื่ออุดมการณ์หนึ่งคนก็จะมีคนต่อสู้กับอำนาจรัฐเป็นเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าทวีคูณ คือ ตายสิบเกิดเป็นแสน
ปี 2518-2519 ขบวนการนักศึกษาที่ติดพันมาจากวันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 พาเคลื่อนไหวตามอุดมการณ์สังคมนิยม ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองว่า ตายสิบเกิดเป็นแสน หลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
ทฤษฎีตายสิบเกิดเป็นแสน กลายเป็นภาพลวงตา เมื่อคนหนุ่มสาวผู้คลั่งอุดมการณ์พบความจริงที่โหดร้ายในป่า เริ่มทยอยกลับสู่พระนครและเพราะอุดมการณ์วูบวาบฉาบฉวยนี้เอง ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยล่มสลายไปก่อนประเทศเพื่อนบ้าน
“ทฤษฎีตายสิบเกิดเป็นแสน” เงียบหายไปจากประเทศไทยหลายปีกลับดังกระหึ่มขึ้นมา หลังจากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบในปี 2562 และเปลี่ยนชื่อเป็น พรรคก้าวไกล ที่คนรุ่นใหม่เชื่อว่าตายสิบเกิดแสนมาทดแทนผู้สูญดับมีจริง เพระหลังจากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ สส.พรรคอนาคตใหม่ถูกตัดสิทธิการเมืองเพียง 16 คน จากที่พรรคได้ สส.ในการลงเลือกตั้งครั้งแรกปี 2562 ได้ สส. 76 คน
และเป็นปรากฏการณ์ล้มบ้านใหญ่เกิดขึ้นอย่างเหนือความคาดหมายเมื่อพรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง พ.ค. 2566 ได้ สส.เข้าสภา 115 คน เป็นพรรคใหญ่ที่สุดในสภา นักวิชาการ นักวิเคราะห์การเมืองมีความเห็นพ้องกันว่าก้าวไกลได้รับความนิยมมากขึ้นจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งตรงกับทฤษฎี “ตายสิบเกิดแสน” นักวิชาการร่านวิชา นักวิเคราะห์การเมืองและสื่อรับใช้ทึกทักเอาว่า คนรุ่นใหม่ ที่เรียกว่า คณะราษฎรยุคใหม่ กลุ่มธรรมศาสตร์ไม่ทน และ กลุ่มทะลุต่างๆ ที่ถูกล้างสมอง โดยศาสดาพรรคอนาคตใหม่ โกรธแค้นที่อนาคตใหม่ถูกยุบ เปลี่ยนความแค้น เป็นพลังออกมาประท้วงรัฐบาล เป็นหมื่นๆ คน เป็นความจริงปี 2563 มี นักศึกษาบางกลุ่มกับติ่ง
ก้าวไกลออกมาประท้วงในธรรมศาสตร์ และสนามหลวงหลายพันคน
แต่การเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่มุ่งเป้าไปที่การโจมตีใส่ร้ายมุ่งทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ มากกว่ามุ่งทำลายรัฐบาลหรือพรรคการเมืองคู่แข่ง การเคลื่อนไหวด้วยความกักขฬะหยาบช้าต่อสถาบันสูงสุดของชาติ เป็นเหตุให้คณะราษฎรยุคใหม่หาแนวร่วมเพิ่มไม่ได้ และเสื่อมสลายลงในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน การเคลื่อนไหวชุมนุมของคนรุ่นใหม่เลยแตกออกเป็นกลุ่มทะลุนั่นโน่นนี้ มีคนร่วมชุมนุมเหลือหลักสิบหลักร้อย ประกอบกับการเคลื่อนไหวของแกนนำคนรุ่นใหม่ที่คลั่งไคล้พรรคก้าวไกล ถูกจับดำเนินคดีหลายสิบคนในความผิดละเมิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่นานการชุมนุมประท้วงของกลุ่มต่างๆ ที่มีเป้าหมายล้มล้างสถาบันฯค่อยๆ หายไปเหลือแต่เพียงพวกฮาร์ดคอร์ก้าวไกล ที่ประท้วงในเชิงสัญลักษณ์ไม่เกินสิบคนหลายคนหันไปสมัครสส.ในนามพรรคก้าวไกลและได้รับการเลือกตั้งเข้าสภา เป็นส่วนหนึ่งของ สส. 115 ที่หลายฝ่ายมองว่า นี่คือผลพวงของทฤษฎีตายสิบเกิดแสน
ดังนั้นหลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความพยายามแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยด้วยว่า พฤติกรรมพรรคก้าวไกลเที่ยวปลุกระดมให้แก้ไข มาตรา 112 เข้าร่วมชุมนุมกลุ่มรณรงค์ยกเลิก มาตรา 112 รวมทั้ง สส.พรรคก้าวไกล ประกันตัวผู้ต้องหา/จำเลยคดีอาญามาตรา 112 และพรรคก้าวไกล เสนอย้ายมาตรา 112 ออกจากหมวดความมั่นคง เป็นการลดสถานะของพระมหากษัตริย์เท่ากับประชาชน การเสนอแก้มาตรา 112 ไม่เป็นตามบัญญัติรัฐธรรมนูญ การกระทำของพรรคก้าวไกลจึงเข้าข่าย “กัดกร่อน บ่อนเซาะ ล้มล้างสถาบันฯ..” คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกสถาบัน ซึ่งหลายคนมองว่าพรรคก้าวไกล อาจถูกยุบในไม่ช้าไม่นาน ความกังวลการถูกยุบพรรคก้าวไกลเกิดขึ้นพร้อมๆ กับท่อนหนึ่งของเพลงเพื่อชีวิตที่ว่า “ตายสิบเกิดเป็นแสนมาทดแทนผู้สูญดับ...”
จากการติดตามการเมืองไทยมากว่า 50 ปี สัมผัสได้ถึงอารมณ์รัก ชอบ เกลียดชิงชังที่วูบวาบไม่มั่นคงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในประเทศไทย คนไทยเห่อพรรคใหม่ได้ไม่นาน และเมื่อรู้เช่นเห็นชาติว่า สันดานของพรรคนั้นๆเป็นอย่างไรก็ถีบหัวส่งหันหลังให้และไปเห่อพรรคใหม่อีก ตลอดเวลาห้าสิบปีผู้เขียนไม่เคยเห็นพรรคการเมืองไหนได้รับความนิยมเกินสองสมัยเลือกตั้ง
ในยุคขวาพิฆาตซ้าย หลังเกิดการสังหารหมู่ นักศึกษา 6 ตุลาคม 2519 พรรคประชากรไทย ซึ่งได้ชื่อว่าพรรคขวา ที่แยกตัวออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อครั้งเลือกตั้งปี 2522 ประชากรไทยกวาดที่นั่งกรุงเทพฯทั้งหมดเหลือให้พรรคประชาธิปัตย์ แชมป์เก่าเพียงที่นั่งเดียว แม้แต่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ปรมาจารย์การเมืองไทยก็ยังพ่าย หัวหน้าพรรคประชากรไทย ในเขตดุสิต แต่การเลือกตั้งต่อๆ มาประชาชนเริ่มเบื่อหน่ายหันกลับมาเลือก ปชป. และกิจสังคมมากขึ้น และในการเลือกตั้งครั้งที่สาม ปชท.ต้องพ่ายให้พรรคพลังธรรมของพลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้สมถะใช้ฝาเข่งทำป้ายหาเสียง และความนิยมของพรรคพลังธรรมก็ลดลงอย่างน่าใจหายในการเลือกตั้งครั้งที่สามพลังธรรมได้ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็น สส. กทม.เพียงคนเดียว
การเลือกตั้งปี 2531 พรรคชาติไทย นำโดยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ได้รับความนิยมสูงสุดได้ สส. 87 ที่นั่ง จาก สส.เต็มสภา 360 คน พลเอกชาติชายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ถูกปฏิวัติในเดือน ก.พ.2534 และหลังจากทหารจัดให้มีการเลือกตั้งปี 2535 พรรคสามัคคีธรรม ชนะเลือกตั้งได้ สส. 97 ที่นั่ง แต่เกิดข้อครหาจนพรรคสามัคคีธรรม ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ต้องให้ นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี ขึ้นในเวลานั้นเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่
เลือกตั้ง 2535/2 ปชป.ชนะเลือกตั้งได้ 79 ที่นั่ง นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่หนึ่ง ก่อนหมดวาระสภาเพียงหนึ่งสัปดาห์ นายชวน ยุบสภาจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ พ.ค. 2539 พรรคความหวังใหม่ได้ สส.125 ที่นั่ง โดยเฉือนชนะ ปชป.พรรคคู่แข่งสำคัญไปเพียง 2 ที่นั่ง ส่งผลให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรค ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่พลเอกชวลิต เป็นนายกฯได้ไม่ถึงปี เกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่เรียกว่า “วิกฤติต้มยำกุ้ง” พลเอกชวลิตลาออก และสภาเลือกนายชวน หลีกภัย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง ระหว่างปี 2540 ถึง 2544
การเลือกตั้งปี 2544 ตามรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่กำหนดให้มี สส.เขต 400 คน สส.บัญชีรายชื่อ 100 คน พรรคไทยรักไทยได้ สส.รวมกัน 248 คน ปชป.ได้ สส. 127 ที่นั่งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีท่ามกลางข้อครหาคอร์รัปชั่นทางนโยบาย และ ในการเลือกตั้งก.พ. 2548 ทรท.ชนะแลนด์สไลด์ได้ สส.377 ที่นั่ง ทรท.ชนะเลือกตั้งถล่มทลาย แต่ก็บริหารประเทศท่ามกลางการประท้วงของประชาชนและข้อหาคอร์รัปชั่นไม่ได้ ทักษิณชิงยุบสภาวันที่ 6 ก.พ. 2549 และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่วันที่ 2 เม.ย. 2549 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งวุ่นวายที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งในประเทศไทย วันที่ 22 เมษายน ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ แต่ทักษิณดื้อรั้นอยู่ในอำนาจต่อไป จนกระทั่งถูกยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ส่งผลให้การเมืองไทยวุ่นวายจนถึงวันนี้
เท้าความภูมิหลังความนิยมวูบวาบของผู้มีสิทธิเลือกตั้งต่อพรรคการเมืองในประเทศไทยเพื่อให้ผู้คลั่งทฤษฎี “ตายสิบเกิดเป็นแสน” ได้สำเหนียกว่า ความนิยมพรรคการเมืองในประเทศนั้นไม่ยั่งยืน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งคลั่งพรรคใดพรรคหนึ่งไม่เกินสองสมัย การกาบัตรลงคะแนนให้พรรคใดพรรคหนึ่งขึ้นอยู่กับอารมณ์ในห้วงเวลานั้นๆ ไม่ได้มีอุดมการณ์ใดๆ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในประเทศไทยมักเห่อของใหม่ แต่พอรู้เช่นเห็นชาติว่าดีแต่สร้างภาพ คิดใหญ่ ทำใหญ่มีนโยบายสวยหรูแต่ปฏิบัติจริงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันหลักของชาติ พรรคที่มีนโยบายกัดกร่อน บ่อนเซาะ ล้มล้างสถาบันหลักของชาตินั้นได้รับความนิยมไม่เกินสองสมัยเลือกตั้ง จึงฟันธงว่าหากศาลฯมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล พรรคนี้ก็ล่มสลายไปและจะไม่เป็นไปตามเพลงเพื่อชีวิตที่ว่า “ตายสิบเกิดเป็นแสนมาทดแทนผู้สูญดับ”
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี