“เศรษฐา ทวีสิน”นายกรัฐมนตรี“ขาลอย”ที่ไม่มี สส.เป็นฐานเสียงของตนเองในพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งที่นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร จับมาวางไว้บนกระดานแห่งอำนาจ ปรากฏว่าออกอาการทันทีเมื่อถูกสื่อถามเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี
อาการของ“เศรษฐา ทวีสิน”นั้นแสดงออกทางน้ำเสียงและสีหน้าท่าทาง ซึ่งเหมือนกับในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ที่นายเศรษฐาเคยออกอาการให้เห็นมาแล้ว ว่าเป็นคนเอาแต่ใจตนเอง โมโหฉุนเฉียวง่าย ฟังได้จากคำพูดนี้ “พี่น้องครับ ผมเดินทางมาหกสิบวัน(หาเสียง) ไข้ขึ้นทุกวันมาเป็นเวลาสิบเอ็ดวันแล้ว เหนื่อยยากขนาดนี้ ผมไม่เอากระทรวงดีๆ ไปให้พวกแม่งหรอก”
คราวนี้เมื่อถูกสื่อถามว่า วันที่เข้าไปหา“ทักษิณ ชินวัตร”ได้พูดคุยเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่ นายเศรษฐา ทวีสิน ทำหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่งพยายามจะเก็บอาการไม่พอใจเหมือนถูกจี้ใจดำ และคำถามนี้เป็นคำถามที่ต่อเนื่องมาจากคำถามเกี่ยวกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่าประเทศไทยเวลานี้มีนายกรัฐมนตรีอยู่สองถึงสามคน โดยนายเศรษฐาได้ตอบเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีว่า
“คำถามนี้ผมว่าไม่ควรจะถามนะ เพราะอดีตนายกฯทักษิณไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการปรับครม. ผมก็ยืนยันตลอดเวลา พวกคุณก็ถามทุกวัน ถามทุกหนที่มีการถาม ผมก็บอกไปแล้ว คำตอบคือคำตอบเดิม จะพูดทำไมว่าปรับครม. ซึ่งครม.ก็พยายามทำงานอยู่ แต่เมื่อพูดไป บางคนก็อาจจะนอยด์ บางคนก็อาจจะไม่สบายใจ ผมเชื่อว่าวันนี้เราต้องเดินหน้าทำงานกันดีกว่า เมื่อถึงเวลาต้องปรับ พวกท่านก็ทราบกันเองว่าต้องปรับ และผมก็เป็นคนทูลเกล้าฯ เอง”
อย่างไรก็ตาม “ทักษิณ ชินวัตร”นั้นเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดา เวลา 18 ปีที่ต้องอยู่นอกวงโคจรของอำนาจ โดยเฉพาะ 9 ปีในยุคของรัฐบาล“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ไม่เพียงแต่“เงินทอง”ร่อยหรอลงเท่านั้น หากแต่ยังต้องควักออกมาเพื่อให้พรรคเพื่อไทยกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง เรียกว่าหมดไปจำนวนไม่น้อยทีเดียวสำหรับการเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี้
อดีตนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ วัย 62 ปีอย่าง “เศรษฐา ทวีสิน” ที่ไม่มีพรรษาทางการเมือง และไม่มีฐานเสียงในพรรคเพื่อไทย ต้องจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ใครก็ตามที่ยอมเข้าไปเป็นบริวารรับใช้ “ทักษิณ ชินวัตร” วันหนึ่งเมื่อหมดความหมาย หมดประโยชน์ในการใช้งาน ดูตัวอย่าง “สมัคร สุนทรเวช” นายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศไทย ที่คนทั่วไปรู้กันดีว่าเป็น“นอมินี”ของทักษิณ สุดท้ายก็โดนทักษิณ “เท” และเก้าอี้นายกรัฐมนตรีก็ได้กลายเป็นสมบัติผลัดกันชม เมื่อทักษิณเปลี่ยนตัวให้น้องเขยที่ชื่อ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ขึ้นมานั่งแทน
วันเวลาของ“เศรษฐา ทวีสิน”บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ณ เวลานี้ ต้องบอกว่ามีแต่นับถอยหลัง ซึ่งนับถอยหลังตั้งแต่หลังเข้าพบ“ทักษิณ ชินวัตร”ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า และถ้าจะว่าไปแล้วกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีนั้น หาก“ไม่มีไฟ ก็ย่อมไม่มีควัน” ด้วยเหตุดังนี้เมื่อนายกฯหุ่นเชิดที่ชื่อ เศรษฐา ถูกสื่อถามจี้ใจดำจึงได้ออกอาการขึ้นมาทันที
แน่นอนว่า“เมื่อถึงเวลาต้องปรับ พวกท่านก็ทราบกันเองว่าต้องปรับ และผมก็เป็นคนทูลเกล้าฯเอง” ดังที่นายเศรษฐา ทวีสิน กล่าวกับผู้สื่อข่าว แต่มีคำถามว่า“เมื่อถึงเวลาต้องปรับ”นั้น ใครต่างหากที่เป็นผู้กำหนดเวลาว่าควรจะปรับครม. และบุคคลนั้นก็ย่อมมิใช่เศรษฐา เพราะเศรษฐาเป็นเพียงแค่คน “เดินสาร” ตามที่เจ้าตัวบอกว่า “ผมเป็นคนทูลเกล้าฯเอง”
คนที่จะบอกว่าถึงเวลาต้องปรับครม. และปรับแบบไหน นั่นก็คือ“ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ”ที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”เพียงคนเดียวเท่านั้น
นอกเหนือจากนั้น การเข้าพบนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ที่“บ้านจันทร์ส่องหล้า” เมื่อวันเสาร์ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาของนายเศรษฐา ทวีสิน ก็เหมือนเข้าไปรับโอวาทและรับคำสั่ง และย่อมต้องถูกสั่งการในหลายๆ เรื่องจากนักโทษเด็ดขาดชายผู้นี้ อันเป็นเหตุให้ภาวะอารมณ์ในช่วงนี้ ของนายเศรษฐาเปลี่ยนไปจนดู“เครียด” เพราะคนอย่างเศรษฐาคงไม่พอใจและรู้สึกไม่เป็นสุขที่ต้องคอยสนองรับคำสั่งใคร
นับถอยหลังจากวันนี้เป็นต้นไปในฐานะนายกรัฐมนตรี“หุ่นเชิด” ทางเลือกของ“เศรษฐา ทวีสิน”จึงมีไม่มากนัก นอกจากจะคว้าอะไรไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็น“ต้นทุน”สำหรับต่อยอดหลังพ้นจากอำนาจที่เปรียบเสมือนความฝันชั่วข้ามคืน สิ่งที่พอมองเห็นก็คือเดินสายออกต่างจังหวัดและบินไปต่างประเทศเพื่อสร้าง“คอนเนคชั่น” ซึ่งอย่างน้อยก็มีประโยชน์หากต้องกลับไปดำเนินธุรกิจในเส้นทางเดิม
จากกำหนดการเดินสายของ“เศรษฐา ทวีสิน” ในช่วงนี้นั้น เมื่อวานอยู่ปัตตานี วันนี้อยู่ยะลา และนอนค้างที่อำเภอเบตงหนึ่งคืน ก่อนจะไปจบทริปที่จังหวัดนราธิวาสและบินกลับกรุงเทพฯ ซึ่งภารกิจหลักในสามจังหวัดนี้ก็คือ เยี่ยมชมสถานที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว และตระเวนเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัด ทั้งวัดวาอาราม ศาลเจ้าแม่ และศาลเจ้าพ่อ จากนั้นในวันที่ 2 มีนาคม 2567 ก็มีกำหนดเดินสายต่อในจังหวัดภาคอีสาน คือ กาฬสินธุ์และร้อยเอ็ด
กลับจากอีสานวันที่ 3 มีนาคม นอนค้างที่บ้านในกรุงเทพฯหนึ่งคืน และในวันรุ่งขึ้นระหว่างวันที่ 4-14 มีนาคมมีกำหนด“ออนทัวร์”ต่อในต่างประเทศ เริ่มจากเข้าร่วมประชุมสุดยอดสมัยพิเศษอาเซียน-ออสเตรเลีย ที่นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ในวันที่ 5-6 มีนาคม เสร็จจากประชุมที่นครเมลเบิร์น คราวนี้บินยาวข้ามจากทวีปออสเตรเลียลัดฟ้าไปทวีปยุโรป มีสถานีปลายทางอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสและเยอรมนี
งานหนักในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ“เศรษฐาทวีสิน”ก็คือการเดินสาย“ออนทัวร์”ทั้งในและนอกประเทศ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี