หนังสือพิมพ์แนวหน้าฉบับเมื่อวาน (วันที่ 28 กุมภาพันธ์) พาดหัวข่าวว่า “ศรัทธาล้นวางคิวเข้ากราบ“ทักษิณ” รมต.-ปธ.วิป รบ. “วิสุทธิ์” รอเวลานายใหญ่เรียก”
โดยมีเนื้อความโปรยรับข่าวพาดหัวว่า....“ทักษิณ” คนป่วยวิกฤตเนื้อหอมสุดหลังได้รับพักโทษ บรรดารัฐมนตรี ประธานวิปรัฐบาลศรัทธาล้น จ่อคิวเข้ากราบ “วิสุทธิ์”ประธานวิปรัฐบาล รอวันนายใหญ่เรียกพบ ขณะที่บิ๊กทิน รมว.กลาโหม ยังไม่เคาะวัน ด้าน “มนพร” บอกชาวบ้าน เตรียมผ้าขาวม้าผูกเอว คิดถึงนายใหญ่ใจจะขาด ชมเป็นคนมีความรู้ความสามารถ ช่วยชาติได้อีกมากสื่อเขมรตีข่าว“อุ๊งอิ๊ง” ไปเยือนกระหึ่ม”...
“วิสุทธิ์” ก็คือ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.พะเยา พรรคเพื่อไทย อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และปัจจุบันเป็นประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ส่วน“บิ๊กทิน”ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคือ นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเจ้าของฉายา “พลิกทินสู่ดาว” ซึ่งเป็นพลเรือนคนแรกของไทยที่ดำรงตำแหน่งนี้โดยไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีควบด้วย
สำหรับ “มนพร” ต้องขยายความ เธอคือ“นางมนพร เจริญศรี” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็น สส.เขต 2 จังหวัดนครพนม 3 สมัย หรือ“สส.เดือน”ที่คนในพื้นที่รู้จัก อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็น“ผู้แทนตลาดล่าง” และเป็นนักการเมืองหญิงคนแรกของจังหวัดนครพนมที่มีบทบาทการเมืองและได้รับความนิยมท่วมท้นบนเส้นทางการเมืองนานกว่า 30 ปี เคยเป็นทั้งนายก อบจ.นครพนมคนแรก รวมทั้ง สส.หญิงคนแรก อีกทั้งยังเป็นรัฐมนตรีหญิงคนแรกของจังหวัดนครพนมด้วย
และในวันที่ 2 มีนาคม สุดสัปดาห์นี้ ตามกำหนดการซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ล่าสุดเห็นสวมเสื้อ“สีมายา-ลายดอกพิกุล” ออกงานอีเว้นท์ระหว่างออนทัวร์ 3 จังหวัดชายแดนใต้นั้น มีคิวเดินสายไปทัวร์อีสานต่อที่จังหวัดกาฬสินธุ์และจังหวัดร้อยเอ็ด โดย“สส.เดือน”ก็คือแม่งานคนสำคัญ ที่เวลานี้ได้ไปเตรียมการต้อนรับเป็นการล่วงหน้าไว้เรียบร้อยแล้ว ในวันนั้นอาจจะได้เห็นภาพมวลชนคนเสื้อแดงที่เป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยออกมายืนถือป้ายเชียร์ แบบว่า“รักเศรษฐาแต่คิดถึงพ่อใหญ่ทักษิณ”อะไรประมาณนั้น รวมทั้งป้ายเรียกร้องรัฐบาลเรื่องการแจกเงิน“ดิจิทัล วอลเล็ต”
เช่นเมื่อปีที่แล้ววันที่ 7 ตุลาคม 2566 ระหว่างที่นายเศรษฐา ทวีสิน ทัวร์จังหวัดร้อยเอ็ดครั้งแรก ก็เคยมีชาวบ้านออกมาถือป้ายเรียกร้องเงิน 1 หมื่นบาท จากโครงการ “ดิจิทัล วอลเล็ต” และนายเศรษฐาได้นำไปขยายความเพื่อหวังผลในการโฆษณาชวนเชื่อต่อ ว่ามีประชาชนหลายพื้นที่ได้แสดงเจตจำนงอยากให้รัฐบาลเดินหน้าโครงการนี้ ทั้งที่สวนทางกับเสียงคัดค้านของนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ และบุคคลหลายๆ ฝ่ายในสังคม
สำหรับโปรยข่าวที่ว่า “สื่อเขมรตีข่าว“อุ๊งอิ๊ง”ไปเยือนกระหึ่ม” นั่นก็คือกำหนดการที่ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร”หัวหน้าพรรคเพื่อไทยจะเดินทางไปเยือนประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ 18-19 มีนาคมนี้ ตามคำเชิญของ“สมเด็จฮุนเซน” ผู้ทรงอำนาจของกัมพูชา อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ “ฮุนเซน” มาเยี่ยมเยือนนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
“อุ๊งอิ๊ง” ไปในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และไปในฐานะบุตรสาวสุดรักของ“ทักษิณ ชินวัตร”ที่เป็นเพื่อนเกลอของ “สมเด็จฮุนเซน” แม้จะไม่ได้เดินทางไปในฐานะผู้นำรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรี แต่ก็มีกำหนดการเข้าพบบุคคลสำคัญของพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของกัมพูชา อาทิ สมเด็จฮุนเซน ประธานคณะองคมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และอดีตนายกฯกัมพูชา ปัจจุบันยังเป็นประธานพรรค CPP, “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และ“เซย์ ซัม” รองประธานพรรค CPP
การเดินทางเยือนประเทศกัมพูชาของ “อุ๊งอิ๊ง”ครั้งนี้ สื่อของกัมพูชานอกจากจะประโคมข่าวแล้ว ยังให้ความเห็นว่า เป็นการเชื่อมสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-กัมพูชา และจะเป็นการผลักดันเพื่อขยายความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ของทั้งสองประเทศ ซึ่งไม่มีรายละเอียดว่า “ความร่วมมือทางยุทธศาสตร์”นั้นคืออะไร
แต่ถ้าจะอ่านระหว่างบรรทัดของ พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี นักวิชาการด้านความมั่นคง และอดีตนายทหารนักบินแห่งกองทัพอากาศไทย ซึ่งได้แสดงความเห็นในรายการ “แนวหน้า Talk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์”เมื่อสองวันก่อน เชื่อว่าก็คงไม่พ้นเรื่อง“พื้นที่พิพาททางทะเล”ของทั้ง 2 ประเทศ โดยเฉพาะบริเวณเกาะกูด จังหวัดตราด ที่มีความสำคัญด้านทรัพยากร ทั้งการประมง การท่องเที่ยว และบ่อน้ำมัน-ก๊าซธรรมชาติ ที่มีอยู่ใต้ทะเลในบริเวณนี้
เนื่องจากเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยนั้น เกิดจากที่ฝ่ายกัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปทับซ้อน ซึ่งมีเขตพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร โดยเชื่อกันว่าใต้ผิวพื้นทะเลลึกลงไปอาจจะมีก๊าซธรรมชาติอยู่ในปริมาณ 11 ล้านล้านคิวบิกฟุต หรือคิดเป็นมูลค่าในราคาปัจจุบัน 3.5 ล้านล้านบาท และน้ำมันอีก 500 ล้านบาร์เรล คิดเป็นมูลค่า 1.5 ล้านล้านบาท และบางแหล่งข้อมูลประเมินว่าทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่นี้ น่าจะมีมูลค่ามากถึง 10 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ที่มี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการลงนามกับรัฐบาลกัมพูชา ซึ่งมี“ฮุนเซน”เป็นนายกรัฐมนตรี ใน“บันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน” อันเป็นการลงนามอย่างเป็นทางการของไทยที่ “สว.คำนูณ สิทธิสมาน”ชี้ว่า เป็นการ“รับรู้”และ“ยอมรับ(การมีอยู่)”ของเส้นเขตไหล่ทวีปที่กัมพูชาประกาศออกมาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2515 โดยไม่มีหลักกฎหมายและข้อเท็จจริงใดๆ รองรับ ถือว่าเป็น“เส้นฮุบปิโตรเลียม“ที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างสิทธิ
เพราะฉะนั้น การพบกันระหว่างสองผู้ทรงอำนาจของไทยและกัมพูชา แห่ง“ตระกูลชินวัตร-ตระกูลฮุน” คือนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร กับ “ฮุนเซน” ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าก่อนหน้านี้จึงไม่ธรรมดา และยิ่งกระชับแน่นขึ้นเมื่อ“อุ๊งอิ๊ง”จะไปเยือนกัมพูชาในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า เป็นการกระชับอำนาจและผลประโยชน์ของสองตระกูล
แต่ที่น่าห่วงเป็นอย่ายิ่งก็คือ ระหว่างผลประโยชน์ของชาติกับผลประโยชน์ทับซ้อนนั้น คนอย่าง“ทักษิณ ชินวัตร”จะยึดประโยชน์อะไรเป็นที่ตั้ง?!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี