การที่คนกลุ่มหนึ่งเชื้อชาติหนึ่งจะต้องอพยพลี้ภัยออกจากถิ่นฐานบ้านเกิดตัวเองนั้นคงไม่ใช่เป็นเรื่องที่พวกเขาอยากจะกระทำ เนื่องจากไม่มีผู้ใดที่อยากทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง หากไม่มีเหตุจำเป็น ซึ่งการอพยพลี้ภัยจากบ้านเกิดไปสู่พื้นที่อื่น ทั้งใน และนอกประเทศ ก็มักจะมีสาเหตุหลักๆ อยู่ไม่กี่ประการ เช่น การผันแปรของภูมิอากาศที่ไม่อำนวยต่ออาชีพกสิกรรม ความอดอยากแร้นแค้นจากสภาพชีวิตที่ไม่เอื้ออำนวย จากการไร้ฝีมือของผู้บริหารปกครองประเทศ และจากการทุจริตคอร์รัปชั่น ควบคู่กับการกดขี่และโหดร้ายทารุณ เป็นต้น
ฉะนั้น ผู้อพยพลี้ภัยจึงถือเป็นผู้ถูกกระทำ และเป็นเหยื่อของความไม่ชอบมาพากลต่างๆ (Victims) ในความเป็นจริงเขาก็ไม่อยากจะเดินทางมาสร้างความปั่นป่วน และความยากลำบากให้กับผู้อื่นใด ทั้งในและนอกประเทศ เพียงแต่พึงประสงค์จะได้รับความโอบอ้อมอารี และความเมตตาจากเพื่อนร่วมโลกทั้งหลาย ซึ่งการรับมือกับเรื่องผู้อพยพชาวพม่านั้น จึงไม่ควรถูกใช้กระบวนการเฉกเช่นเขาเป็นอาชญากรอย่างที่คณะรัฐบาลไทยกระทำการอยู่โดยไม่ต้อนรับ และหากมีการก้าวล้ำเข้ามาในดินแดนไทย ก็จะถูกตีตราบาปว่า เป็นผู้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตรวจคน
เข้าเมือง และยังจะอ้างด้วยว่า กระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของราชอาณาจักรไทย
กระบวนการที่เราสมควรจะทำนั้น ก็คือการเปิดพรมแดนต้อนรับขับสู้ ให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม ซึ่งกระบวนการนี้เป็นสิ่งที่ราชอาณาจักรไทยได้เคยกระทำมาโดยตลอดในประวัติศาสตร์ ซึ่งที่แล้วๆ มา ฝ่ายไทยก็จะไม่ได้ถูกทิ้งให้ต้องดำเนินการแบบโดดเดี่ยว เพราะต่างชาติเขารอที่จะให้ความร่วมมือสนับสนุนอยู่ อีกทั้งก็จะมีหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติเข้ามาช่วยในเรื่องการบริหารจัดการต่างๆ และที่สำคัญแวดวงอุตสาหกรรมและการค้าของไทยก็จะได้ประโยชน์จากการขายสินค้าต่างๆ ให้กับภาครัฐและแวดวงต่างประเทศ เพื่อนำไปช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมต่อผู้อพยพลี้ภัยอีกด้วย
นอกจากนั้น ก็ยังมีข้อคิดที่ว่า สังคมไทยกำลังขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากความสำเร็จในเรื่องการคุมกำเนิด อีกทั้งคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่แต่งงานช้า มีลูกช้า และมีลูกกันน้อย ส่งผลให้ช่องว่างระหว่างการจ้างงานกับการรับงานนั้น ก็สามารถที่จะได้รับการต่อเชื่อมโยงได้ด้วยแรงงานชาวพม่า ที่มีแออัดอยู่ในค่ายผู้อพยพตลอดแนวชายแดนไทย-พม่ามานานแล้วหลายสิบปีถึง 9 หมื่นคน โดย 40,000 คนอยู่ในวัยใช้แรงงาน สามารถบวกทบกับแรงงานที่จะมาจากผู้อพยพพม่ารุ่นใหม่นี้
ความเร่งด่วนในเรื่องการมีนโยบายและมาตรการที่แน่นอนก็เข้มข้น เพราะในช่วง 3 ปีนี้สังคมพม่าได้เข้าสู่สภาวะสงครามกลางเมืองและรัฐบาลเผด็จการทหารพม่ากำลังกวาดต้อนชาวพม่าหนุ่มสาวให้ไปรับการเป็นทหาร ซึ่งก็เป็นแรงกระตุ้นให้คนหนุ่มสาวพม่าจำเป็นต้องหนีการเกณฑ์ทหารที่ไร้ความชอบธรรม ไร้ศีลธรรม และไร้มนุษยธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
รัฐบาลไทยทั้งชุดที่แล้ว และชุดปัจจุบัน ก็ยังทำตัวเกรงอกเกรงใจ อ่อนโยน และเคารพนบนอบฝ่ายกองทัพพม่า ที่กำลังทำลายความเป็นสังคมประชาธิปไตยของพม่า และคงอยู่ได้ด้วยการทารุณกรรมต่อประชาชนพลเมือง ซึ่งพฤติกรรมของรัฐบาลไทยสวนทางกับการเป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย และไม่แยแสต่อหัวอกประชาธิปไตยของชาวพม่า และไม่ยอมรับว่าชาวพม่าโดยทั่วไปตกทุกข์ได้ยากอย่างแสนสาหัส และชาวพม่าเป็นเหยื่อของฝ่ายกองทัพรัฐบาลเผด็จการของพม่า
ชาวไทยนั้นเป็นผู้โอบอ้อมอารี เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์อย่างชาวพม่าเพื่อนบ้าน แต่แปลกที่รัฐบาลไทยทั้งชุดก่อนและชุดปัจจุบันกลับไม่คำนึงถึงมนุษยธรรมของชาวพม่า สะท้อนให้เห็นว่าไม่ได้คำนึงถึงจิตใจชาวไทยอีกด้วย
หรือต้องรอให้ชาวไทยลุกฮือกันขึ้นมาเรียกร้องความถูกต้องชอบธรรมให้แก่สังคมไทยกัน ผู้มีอำนาจจึงจะเริ่มขยับตัว?
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี