จู่ๆ “นายเศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ก็มีคำสั่ง “เด้งฟ้าผ่า” บิ๊กต่อ-
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กับ บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาลรองผบ.ตร. เข้ากรุ ที่สำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่20 มี.ค. 2567 ที่ผ่านมา
ต้นตอของการมีคำสั่ง “เด้ง” ดังกล่าว เกิดจากปัญหา “การวัดพลังกัน” ระหว่าง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หลังมีการออกหมายเรียกให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปรับทราบข้อกล่าวหา ที่เกี่ยวพันกับเว็บพนันออนไลน์ จากนั้น ก็มีการออกมา “แฉ” เรื่องเส้นทางเงินจากเว็บพนันที่โยงใยไปสู่“นายพลตำรวจ” ที่ พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์อดีตผู้บังคับการศูนย์ฝึกอบรมตำรวจ กองบัญชาการตำรวจนครบาล “ลูกน้องบิ๊กโจ๊ก” ซึ่งออกมาแถลงเมื่อวันที่ 19มี.ค. 2567 เปิดโปงความเชื่อมโยงในเส้นทางการเงินของ น.ส.พิมพ์วิไล แอดมินเว็บพนัน BNK MASTER ซึ่งเชื่อมโยงไปยังบัญชีของ นายพล “ต.” ภรรยา “ก.” พี่สาว
“จ.” พี่ชาย “ช.” ซึ่งทีมทนายความของบิ๊กโจ๊ก ระบุว่า วงเงินหมุนเวียนในบัญชีของคดีเว็บ BNK MASTER รวมกว่า 400-600 ล้านบาท
การ “เด้งฟ้าผ่า” นำมาซึ่งข้อสังเกตต่างๆ มากมายจากหลากหลายบุคคลสำคัญ โดยมีประเด็นที่ต้องขีด“เส้นใต้บรรทัด” ไว้แบบเข้มๆ เลยว่า
• เป็นการตัดสินใจของนายเศรษฐาหรือมีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตตำรวจที่เคยสร้างรัฐตำรวจอยู่เบื้องหลัง
• จะนำไปสู่กระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใส่จริงจัง หรือเป็นการเกี๊ยะเซียะกัน เพื่อ “ฟอกขาว” ให้ทั้งคู่
• เป็นโอกาสในการดัน “คนของตนเอง” ขึ้นสู่เก้าอี้ ผบ.ตร. แบบเนียนๆ หรือเปล่า
1) พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร หรือ เสธ.แมว อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)ที่คลุกคลีในแวดวงความมั่นคง แวดวงตำรวจ ทหารมานาน ให้ความเห็นว่า
จากความขัดแย้งครั้งนี้ ที่เกิดขึ้นในระดับสูงของวงการตำรวจ จะส่งผลกระทบลุกลามถึงรัฐบาล เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้ รัฐบาลกำลังจะเจอกับการอภิปรายเป็นการทั่วไปโดยไม่ลงมติจากสมาชิกวุฒิสภา และจากฝ่ายค้านด้วย ถึงเวลานั้น ถ้าประเด็นนี้ยังอยู่ จะถูกหยิบยกมาเล่นงานด้วย
ต้องยอมรับว่า ข้อมูลของทั้งสองฝ่าย คือ บิ๊กต่อกับบิ๊กโจ๊กล้วนไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่าจะขยายผลถึงไหน โดยเฉพาะข้อมูลของฝ่ายบิ๊กโจ๊กนั้น เป็นเหมือนปริศนา ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เคยพูดเอาไว้ว่า ถ้าเอาข้อมูลมาเปิด มันจะกระทบกระเทือนไปทั้งสตช. ก็เกิดชื่อย่อ อะไรเต็มไปหมด เลยเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ให้ขยายผล เราจึงเห็นทั้ง 2 นายพลตำรวจมานั่งแถลงข่าวคู่กัน จากนั้นถูกย้ายไปช่วยราชการที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีด้วยกันทั้งคู่
พล.ท.ภราดร ระบุว่า ในสาระของการแถลงบอกชัด สำนวนของ บิ๊กโจ๊ก ต้องไปป.ป.ช.แล้ว ดังนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะหยิบยกสำนวนนี้มาสอบอีกไม่ได้ จะมาเล่นงานเพื่อจะลามไปถึงการ “พักราชการ” หรือ “ให้ออกไว้ก่อน” ก็ต้องหยุดไปด้วย เพราะสำนวนมาอยู่ที่ ป.ป.ช. ต้องรอป.ป.ช.ชี้มูล ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาอีกนาน ต้องยอมรับ บิ๊กโจ๊ก เป็นคนร้องขอให้สำนวนนี้ไปอยู่ ป.ป.ช.เพื่อสร้างความเป็นธรรม เนื่องจากใน สตช.เกิดการแข่งขัน ชิงแคนดิเดต ผบ.ตร.
การที่ 2 คน ออกมาแถลงข่าวคู่กัน เชื่อว่าก่อนแถลงข่าวได้ไปพบนายกรัฐมนตรีก่อนอยู่แล้ว แล้วก็มาแถลงให้เห็นเป็นประเด็นชัดว่า สำนวนบิ๊กโจ๊กไป ป.ป.ช. จากนั้นก็มาโดนเด้งทั้งคู่ เพื่อลดแรงเสียดทานที่จะเกิด
การไปช่วยราชการ 60 วัน ก็เป็นเรื่องรอยต่อ ที่จะโดนอภิปรายทั้งสว.วันที่ 25 มี.ค. 2567 วันที่ 3-4 เม.ย.2567โดนฝ่ายค้านอภิปรายอีก รัฐบาลจึงลดแรงกดดันในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ซาลงได้
เมื่อครบกำหนดช่วยราชการ 60 วัน ต้องมาดูอีก จะกลับมาทั้งคู่หรือไม่ ถ้าไม่ได้กลับทั้งคู่ บิ๊กโจ๊ก จะอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย อยู่ในเกณฑ์การเป็นแคนดิเดตชิง ผบ.ตร.ต่อ เพราะกระบวนการไปอยู่ป.ป.ช.แล้ว ยังไม่ได้ชี้ถูก ชี้ผิด ดังนั้นจะไปตั้งกรรมการสอบสวนเขาอีกไม่ได้
การที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 (บก.น.2)จะเรียกพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปรับทราบข้อกล่าวหา เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงินฯ และสมคบร่วมกันฟอกเงิน จะส่งผลกระทบต่อบิ๊กโจ๊กหรือไม่นั้น เรื่องนี้มันเป็นรอยต่อคดีอันนี้ ที่เหมือนจะไปเรียกเขา สุดท้ายคดีนี้ก็เกี่ยวเนื่องไปสู่คดีอันแรก ทั้งหมดจึงจะต้องไหลไปป.ป.ช.หมด จริงๆถ้าฟังจากที่แถลง คดีเรื่องนี้จะไปสัมพันธ์กับคดีอันแรกที่ต่อเนื่องร่วมกัน ต้องไหลไปป.ป.ช.ทั้งหมด ถ้าฟังจาก ทนายของบิ๊กโจ๊ก โอกาสไปถึงก็ไม่ง่าย
ถ้าสอบแล้ว เส้นทางการเงินไปไม่ถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์อาจจะหลุดก็ได้ แต่เราก็ตอบไม่ได้ ต้องรอป.ป.ช.ชี้มูลออกมา
ณ ตอนนี้ บิ๊กโจ๊ก น่าจะกลับมามีพลังที่จะสู้ต่อได้ เพราะถ้ายังอยู่ใน สำนักงานตำรวจฯ แล้วคณะกรรมการชี้มูลผิดวินัยร้ายแรง อาจถูกพักหรือออกราชการไว้ก่อน ก็จบเห่เลย กว่าจะเข้าสู่กระบวนการ ตัวเองก็ไม่เข้าเกณฑ์ของ ผบ.ตร.แล้ว เพราะให้ถูกออกราชการ ก็เหมือนคดีเดียวกับลักษณะคดีของ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตาก็แบบเดียวกันแล้วกลายเป็น ไม่มีสิทธิเป็น แคนดิเดต แล้วสุดท้ายก็เกษียณไป
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หากพ้นการไปช่วยราชการ 60 วันไปแล้วกลับมาอยู่ในไลน์ แคนดิเดต ผบ.ตร.เหมือนเดิม บิ๊กต่อก็กลับมา แต่ก็คงไม่กล้าจะทะเลาะกับบิ๊กโจ๊กแล้ว เพราะก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบิ๊กโจ๊กยังมีข้อมูลไม้เด็ดอะไรอีก ที่จะเปิดออกมาเส้นทางการเงิน กลับกลายเป็นแค่ส่วนของลูกน้องทั้งนั้น แต่จริงๆ เส้นทางการเงินไปหลายกลุ่มเลยทำไมมาเฉพาะเจาะจง เฉพาะแค่กลุ่มนี้ ระหว่างนี้ ก็ให้พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ หรือ บิ๊กต่ายรักษาการผบ.ตร.ไปก่อน 60 วัน
นี่ดูเหมือนเป็น “เกมตำรวจ” แต่โยงมาถึงการเมืองด้วย เพราะผบ.ตร.ในอนาคต ต้องเกี่ยวพันกับ “ฐานอำนาจรัฐบาล” เป็นมือไม้ แต่ตอนนี้ แทนที่บิ๊กโจ๊กจะถูกเด็ดขั้วไปเลย กลายเป็นดีเลย์แท็กติกไปได้ก่อน ตอนนี้บิ๊กโจ๊กน่าจะแฮปปี้กว่า แสดงว่า โจ๊กยังมีอิทธิฤทธิ์อยู่ แล้วถ้าฟังจากข้อมูลจริงๆ จะเห็นว่า เส้นทางการเงินยังไปไม่ถึงบิ๊กโจ๊กเลย พอไปอยู่ในมือ ป.ป.ช. บิ๊กโจ๊ก เขาก็อาจเชื่อว่ายังมีโอกาสรอด
2) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีความเห็นในเรื่องนี้ว่า
รูปแบบการดำเนินการในลักษณะมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และย้ายคู่พิพาทไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯเสียก่อนในเบื้องต้น แต่ผลสรุปของการดำเนินการครั้งนี้เชื่อว่า จะไม่มีคนผิด เจ๊ากันไป เป็นการเกี๊ยะเซียะกัน
เมื่อคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงทำงานเสร็จเรียบร้อย ผลปรากฏว่าไม่มีใครผิด ทั้งคู่กลับเข้าดำรงตำแหน่งเดิม เมื่อถึง 30 กันยายน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์
ก็เกษียณไป ส่วนพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็เตรียมขึ้นตำแหน่ง ผบ.ตร. ขึ้นอยู่กับว่านายกฯ จะเลือกหรือไม่ ส่วนประชาชนก็ถือว่าได้ดูละคร
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า ก่อนที่จะมีคำสั่งนายกรัฐมนตรี ย้าย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์เข้ามาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีนั้น เชื่อว่าต้องมีการหารือกันก่อนแล้ว ว่า จะทำอย่างไรกับข้อขัดแย้งนี้เพราะต่างก็ใหญ่ด้วยกันทั้งคู่ และหากนายกรัฐมนตรีไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ก็จะเกิดความเสียหายแก่ตัวนายกฯ เองด้วย
ส่วนตัวนายกฯ ก็รู้กันอยู่แล้วว่า ไม่ได้มีอิสระในการทำงานมากมายนัก การตัดสินใจครั้งนี้จึงย่อมเกิดจากการปรึกษาหารือกับผู้มีอำนาจต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ถือเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. ได้ ทั้งที่มีอาวุโสน้อยที่สุด แต่สามารถก้าวข้ามผู้อื่นได้มาทุกปี จึงถือว่าไม่ธรรมดา ซึ่งระยะเวลาสอบสวน 60 วัน ที่สามารถขยายได้นี้ควรต้องมีผลการสอบสวนออกมาก่อนวันที่ 30 กันยายน เพราะหาก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เกษียณไปแล้ว ก็จะไม่สามารถตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยได้ หากพบว่ามีมูลการกระทำความผิด
ในส่วนของการตรวจสอบโดยคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงนั้น ต้องพิจารณาว่า มีการสอบสวนในส่วนใดบ้าง เพราะมีทั้งกรณีที่มีการกล่าวหา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ว่า กระทำความผิดเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ จนกระทั่งส่งเรื่องไปถึง ป.ป.ช. ทั้งยังมีการดำเนินคดีโดย สน.เตาปูน จนกระทั่งมีการขอให้ศาลออกหมายจับ แต่ศาลไม่ได้ออกให้ สุดท้ายจึงเป็นการออกหมายเรียกโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติแทน
และยังมีประเด็น ที่ลูกน้องของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกมาแฉกลับ ว่ามี นายพล ต. ซึ่งไม่รู้ว่าเป็น “ต่อศักดิ์” หรือไม่มีภรรยา และเครือญาติเข้าไปเอี่ยวกับเว็บพนันออนไลน์ด้วยเช่นเดียวกัน จึงต้องติดตามต่อไปว่า การทำงานของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงนี้ จะอยู่ภายใต้อิทธิพลใครหรือไม่ และจะทำความจริงให้ปรากฏได้หรือไม่
ในส่วนของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ได้มีการเจรจากันหลังจากที่ได้มีการเปิดเผยข้อมูลต่างๆ ออกมา ในลักษณะต่างฝ่ายต่างกล่าวหากัน ท้ายที่สุดจึงปรากฏเป็นภาพการแถลงข่าวร่วมกัน ว่าไม่มีอะไร ไม่มีการดำเนินคดีใครอีกแล้ว ภาพเหล่านี้ทำให้ประชาชนเกิดความงุนงง
อย่างไรก็ตามเมื่อมีมูลอยู่แล้ว ควรต้องหาความจริงมาชี้แจงกับประชาชนให้ได้ว่า ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังเว็บพนัน มีพยานหลักฐานใดบ้าง และสมควรมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย หรือดำเนินคดีอาญากับใครบ้าง เว้นเสียแต่ว่าคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงจะถูกกำกับมาแล้ว ว่า ให้สอบสวนแค่ไหน แล้วเลิกกันไป ซึ่งไม่ทราบเลยว่าผู้มีอำนาจจะมีการพูดคุยกันไว้แค่ไหน
3) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ทนายความ อดีตสส. ฟันธงผ่านเฟซบุ๊กว่า “งานนี้ ผบ.ตร.แพ้ครับ!” ความว่า
นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งย้ายผบ.ตร. และ รองผบ.ตร.ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี อ้างว่า เพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างผบ.ตร. และรองผบ.ตร. เรื่องนี้ ตีความ
ไปได้ 3 ทาง
1.หากถือว่า ความขัดแย้งระหว่างผบ.ตร.และรองผบ.ตร. เป็นความขัดแย้งในเรื่อง “ส่วนตัว” หมายถึงเอาเรื่อง “ส่วนตัว” มาทะเลาะกัน จนทำให้การบริหารงานใน สตช. เละเทะ การแยกทั้งคู่ออกมา นั่นน่าจะถูกแล้ว
2.หากเป็นความขัดแย้งในการบริหารราชการแผ่นดิน “มิใช่เรื่องส่วนตัว” ความขัดแย้งเช่นนี้ ต้องมีคนผิด 1 คน และคนถูก 1 คน หากเป็นดังนั้น ต้องแยกคนผิดออกมา ให้คนถูกทำงานในหน้าที่ต่อไป การแยกคนถูกออกมาถือเป็นการลงโทษคนถูกที่ไม่ได้ทำผิด ปกติเขาไม่ทำกัน
3.หากเป็นกรณีที่ทั้ง 2 ฝ่าย มีแนวโน้มกระทำผิดตามที่ต่างกล่าวหาซึ่งกันและกัน การแยกทั้ง 2 ฝ่ายออกมาเพื่อให้การสืบสวน-สอบสวน เป็นไปด้วยความยุติธรรม
ก็ถูกแล้ว หากต่อไปมีปลัดกระทรวงขัดแย้งกับรองปลัดหรือผู้ว่าฯขัดแย้งกับรองผู้ว่าฯ เพื่อตัดปัญหา ผู้มีอำนาจทางการเมืองจะย้ายทั้ง 2 ฝ่ายออกจากหน่วยงานหรือ?
• ผบ.ตร.ยังไม่ถูกกล่าวหาด้วยเรื่องอันใดเลยขอย้ำ!!! ผบ.ตร.ยังไม่ถูกกล่าวหาด้วยเรื่องอันใดเลยขณะที่รองผบ.ตร.คดีไปถึง ป.ป.ช.แล้ว
• จะเป็นประการใดก็ตาม งานนี้ ผบ.ตร. มีตำหนิในชีวิตราชการไปแล้ว
• ผมนี่ปกป้องและให้กำลังใจการทำงานของตำรวจมาตลอด การวิจารณ์หรือให้ความเห็นอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงเพื่อปกป้ององค์กรนี้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “เหนือความคาดหมาย”
• งานนี้ ผบ.ตร.แพ้ครับ!! และเป็นการแพ้ในขณะที่ยังไม่ได้ต่อสู้เลย เว้นแต่ ผบ.ตร.เห็นว่า “ข้อมูล” ที่อีกฝ่ายหนึ่งมีอยู่ในมือ เป็นข้อมูลที่สาหัสสากรรจ์ สามารถทำร้ายตนได้ จึงยอมก้มหน้าเดินออกมาโดยไม่ยอมต่อสู้เลย
สรุป : เมื่อแกะรอยจากมุมมองของทั้งสามท่านนี้แล้ว สถานการณ์ล้วนไม่น่าไว้วางใจ
1.ไม่มีใครเชื่อว่า “นายกฯเศรษฐา” เป็นตัวของตัวเอง ตัดสินใจย้ายตำรวจสองคนนี้เอง แต่น้ำเสียงบ่งชี้ไปทาง “ผู้มีอิทธิพลเบื้องหลัง”
2.ในเวลานี้ “นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร” ที่อยู่ระหว่างการพักโทษ แสดงตนเป็น “ผู้มีอิทธิพลทางการเมือง”โดยเฉพาะกับพรรคเพื่อไทยชัดเจนที่สุด เป็นไปได้ไหมที่จะเป็นเขา ซึ่งเป็นตำรวจเก่า และเคยสร้างรัฐตำรวจมาแล้ว ยังไม่รวมว่า ในเวลาที่น้องสาวของเขาเป็นนายกฯก็มีกระบวนการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จนมีข้อครหาว่าตั้งเกม “เก้าอี้ดนตรี” เพื่อให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ดามาพงศ์ ได้นั่งเก่าอี้ ผบ.ตร.ก่อนเกษียณ
3.บิ๊กโจ๊ก โฉ่งฉ่างเกินไป เป็นใหญ่ตอนนี้อาจจะเป็นสายล่อฟ้า บิ๊กต่อรอเกษียณเดือนกันยาฯ พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐพันธุ์เพ็ชร์ หรือ บิ๊กต่าย ที่ได้รับเลือกให้รักษาราชการแทน ผบ.ตร. อยู่ตอนนี้ อาจเป็น ผบ.ตร. หลังบิ๊กต่อเกษียณ
ตำรวจมีผลต่อการเตรียมการเลือกตั้งครับ
“ทักษิณ” ต้องชนะเลือกตั้งครั้งหน้า นั่นคือเดิมพันดังนั้น จึงไม่แปลกใจที่หลายฝ่ายเชื่อว่า นี่คือการฉวยสถานการณ์ดราม่า ติดตาต่อกิ่งเก้าอี้ ผบ.ตร. ไว้รอการเลือกตั้งที่จะมาถึงในอีกไม่ช้าไม่นาน !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี