ปัญหาเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษาในประเทศไทยมีมาอย่างยาวนาน โดยสาเหตุหนึ่งเกิดจากการขาดการเข้าถึงโอกาสของผู้ที่มีรายได้น้อย แม้ประเทศไทยจะมีนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนระดับมัธยมปลาย แต่ยังพบอุปสรรคที่เป็นช่องโหว่ของนโยบายเรียนฟรี 15 ปีในส่วนของเงินอุดหนุนรายการปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจนที่ยังไม่ครอบคลุมนักเรียนยากจนในระดับปฐมวัยและระดับมัธยมปลาย และยังพบว่าการจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อนักเรียนยากจนมีเพียงร้อยละ 0.5 ของงบประมาณด้านการศึกษาเท่านั้น ยิ่งส่งผลให้เด็กที่ครอบครัวเป็นผู้ที่มีรายได้น้อยยิ่งขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา
จากสถิติข้อมูลนักเรียนจากสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เฉพาะในส่วนที่บริหารจัดการในภาครัฐ พบว่าเด็กนักเรียนชั้น ป.1 - ม.6/ปวช.3 ช่วงปี 2565 พบว่ามีอัตราเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาประมาณ 118,861 คน หรือคิดเป็น 20.4% ส่วนหนึ่งตัดสินใจออกจากระบบเพื่อไปศึกษาหาความรู้ด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง, ระบบ Home School หรือ กศน. แต่ก็ยังมีเด็กอีกจำนวนมากที่จำใจต้องออกจากระบบการศึกษาด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจภายในครอบครัว
เพราะไม่มีทุนในการศึกษา จึงต้องเดินหน้าในทางที่ไม่ได้เลือก
“ทุนการศึกษา” ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยมอบโอกาสทางการศึกษาให้เด็กด้อยโอกาสได้สามารถ
กลับมาเรียนได้อีกครั้ง แต่ไม่ใช่เด็กด้อยโอกาสทางการศึกษาทุกคนจะได้รับ “โอกาส” เพราะทุนการศึกษามีจำกัด เด็กด้อยโอกาสจำนวนมากจึงต้องแข่งกันเพื่อคว้าทุนการศึกษา ผู้เขียนได้เล็งเห็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาทุนการศึกษาในสังคมไทยมีดังนี้
1.จำนวนทุนการศึกษาที่มีอย่างจำกัดไม่เพียงพอต่อจำนวนเด็กด้อยโอกาส ด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนส่งผลให้มีผู้ที่บริจาคทุนการศึกษาน้อยลง รวมไปถึงรัฐบาลที่ได้มีการตัดงบการศึกษา จึงทำให้เด็กด้อยโอกาสจำนวนมากต้องแข่งขันกันเพื่อแย่งทุนการศึกษาที่มีอยู่อย่างจำกัด
2.เด็กด้อยโอกาสไม่สามารถเข้าถึงทุนการศึกษาได้ ไม่ใช่เด็กทุกคนจะรู้และสามารถเข้าถึง ทุนการศึกษาได้ เพราะเด็กส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทุนการศึกษา และยังมีเด็กบางกลุ่มที่ไม่กล้าขอทุนการศึกษาเพราะอายเพื่อน ยังรวมไปถึงการบริหารจัดการของสถานศึกษาบางกลุ่มที่ละเลยเด็ก จนทำให้เด็กไม่สามารถเข้าถึงทุนการศึกษาได้
3.หลักเกณฑ์การพิจารณาทุนการศึกษาที่ไม่เท่าเทียม เมื่อพูดถึงการให้ทุนการศึกษา “เด็กด้อยโอกาส” คือกลุ่มคนแรกๆ ที่สมควรได้รับโอกาสทางการศึกษา แต่มีเด็กด้อยโอกาสอีกมากที่ไม่ผ่านการพิจารณาทุนด้วยหลักเกณฑ์การพิจารณาทุนที่ไม่ใช่แค่ยากจนอย่างเดียว เช่น ต้องมีผลการเรียนที่ดี ต้องมีการทำกิจกรรมต่างๆ จนทำให้เด็กยากจนที่ไม่ได้เรียนเก่งหรือมีต้นทุนสำหรับการไปร่วมทำกิจกรรมต่างๆ พลาดโอกาสในการได้รับทุนในการศึกษา อีกหนึ่งปัญหาการพิจารณาทุนที่ไม่เท่าเทียมที่พบมากคือ “ระบบคนสนิท” มีครูบางส่วนที่ทำหน้าที่ในการพิจารณาทุนให้เด็กมักจะให้ทุนกับเด็กนักเรียนที่ตัวเองมีความสนิทสนมด้วย หรือเด็กนักเรียนที่เป็นญาติกัน
4.ประชาชนทั่วไปรวมถึงเด็กนักเรียนไม่สามารถตรวจสอบความโปร่งใสของการใช้งบทุนการศึกษาได้ เงินทุนที่เหลือจะทำอย่างไร? เงินทุนกว่าจะถึงมือเด็กได้ผ่านมือใครมาบ้าง? ผู้เขียนเชื่อว่าคำถามเหล่านี้ทุกคนล้วนสงสัย สถานศึกษาจึงควรจัดทำการเปิดเผยข้อมูลการจัดสรรงบทุนการศึกษาให้ประชาชนและเด็กได้ทราบ เพื่อแสดงถึงความโปร่งใสในการจัดทุน
จึงนำไปสู่ผลกระทบ ที่ไม่ได้จบแค่คนกลุ่มเดียว
เพราะเด็กไม่มี “เงิน” จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เด็กเลือกที่จะหันหลังให้กับการศึกษา สังคมมักกล่าวโทษเด็กที่หันหลังให้การศึกษาว่าเป็นเด็กไม่มีความรับผิดชอบ เด็กเกเร แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่กล่าวมาใช่เหตุผลที่แท้จริงหรือไม่ ปัญหาที่เห็นได้ชัดเมื่อเด็กหันหลังให้การศึกษา คือ การหันไปพึ่งยาเสพติด การมีพฤติกรรมเป็นเด็กแว้นที่สร้างความวุ่นวายในสังคม หรือหนักสุดก็คงเป็นการทำผิดร้ายแรงที่อาจทำให้ต้องจำคุก ดังนั้นผู้เขียนจึงเล็งเห็นถึงปัญหาการไม่มีทุนในการศึกษาว่ามีผลกระทบในวงกว้าง มีหลายกลุ่มในสังคมได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นตัวเด็ก ผู้ปกครอง บุคลากรทางการศึกษา รวมไปถึงสังคม ซึ่งแน่นอนว่า คนที่จะรับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ใช่แค่เพียงตัวเด็ก แต่เป็น “ทุกคนในสังคม” ที่จะต้องช่วยกันผลักดันให้เด็กด้อยโอกาสได้เข้าถึงทุนการศึกษา
เพราะการแก้ปัญหาที่ดี เริ่มด้วยการมีหลักธรรมาภิบาล
จากประเด็นปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นผู้เขียนเห็นว่าเราสามารถนำหลักธรรมาภิบาลมา ประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาด้านทุนการศึกษาได้ ผู้เขียนเชื่อว่าเราสามารถนำ “หลักความโปร่งใส” มาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาทุนการศึกษาได้ เช่น การเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสในการจัดสรรทุนการศึกษาเพื่อให้สามารถติดตาม และเข้าใจถึงกระบวนการในการคัดเลือกทุน ปริมาณทุนที่ใช้ไป รวมไปถึงผลลัพธ์ของการใช้ทุนการศึกษา
นอกจากนี้ยังสามารถนำ “หลักการมีส่วนร่วม”เข้ามาประยุกต์ใช้ได้โดยสร้างการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย เช่น นักเรียน ครู โรงเรียน ผู้ปกครอง หรือบุคคลหรือหน่วยงานอื่นๆ ที่มีส่วนในการจัดสรรงบประมาณทุนการศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจและกำหนดนโยบาย รวมไปถึงพิจารณาในการจัดสรรทุนอย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการตรวจสอบการจัดสรรทุน
ผู้เขียนจึงขอยกตัวอย่าง “โครงการร้อยพลังทางการศึกษา” ที่เปรียบเสมือนกลไกการเชื่อมโยงระหว่างเด็กด้อยโอกาสและผู้สนับสนุน โดยทำหน้าที่สำคัญในการช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสผ่านเครื่องมือพัฒนาคุณภาพทางการศึกษา เชื่อมโยงคนในสังคมให้มีส่วนในการร่วมระดมทุนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมเด็กด้อยโอกาสให้ได้รับการศึกษาผ่านช่องทางการบริจาคที่เว็บไซต์ https://donate.tcfe.or.th/donate โดยโครงการนี้มีความโปร่งใสในการจัดสรรทุนการศึกษา เพื่อให้ผู้รับทุนและผู้สนับสนุนทั้งหมดได้เห็นทุกขั้นตอนของการนำเงินไปใช้ โดยทุกคนสามารถเข้ามาตรวจสอบการใช้เงินบริจาคได้ผ่านเว็บไซต์ร้อยพลังการศึกษา (https://www.tcfe.or.th/good-governance/) และยังสามารถติดตามผลการดำเนินงานผ่านเว็บไซต์ได้ทั้งหมดอย่างเปิดเผยและโปร่งใส
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าการนำหลักธรรมาภิบาลเรื่องความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมเข้ามาประยุกต์ใช้กับระบบการจัดสรรทุนการศึกษา ย่อมเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้มอบทุนและผู้รับทุน เพราะทุกคนได้ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการจัดสรรทุนการศึกษาให้มีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ เมื่อประชาชนเห็นถึงความโปร่งใสก็อยากที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมกันบริจาคทุนการศึกษาให้กับเด็กด้อยโอกาส เพื่อให้เด็กเหล่านี้ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและกลับมาสนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่เด็กรุ่นต่อๆ ไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี