สัปดาห์ที่แล้ว พอคอลัมน์ของแนวหน้า ฉบับวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2567 เรื่อง “สัตว์ป่าสงวนทำร้ายและทำลายชีวิตและทรัพย์สิน หน่วยราชการใดรับผิดชอบ” ตีพิมพ์ไปเราประชาชนคนไทยก็ได้เห็นข่าวทีวี.กันทุกช่อง เป็นภาพของเจ้าหน้าที่ของรัฐ 10 คนบ้าง 20 คนบ้าง ถือไม้และหนังสติ๊กออกมาไล่ตีและไล่ยิงที่จังหวัดลพบุรี กันอยู่หลายวัน
และวันที่ 31 มีนาคม ทีวี.ก็สรุปให้ฟังว่า จับใส่กรงไปได้27 ตัว ยังไม่ถึงเป้า ซึ่งตั้งไว้ 50 ตัว ซึ่งก็คงจะทำอยู่แค่นี้แหละเพราะคงไม่มีหน่วยงานใด จะมีเจ้าหน้าที่เหลือเฟือไปนั่งไล่ยิงหนังสติ๊กหรือนั่งจับลิงกันอยู่ทุกวัน ทุกสัปดาห์
ที่น่าน้อยใจ ก็คือ มีกรมของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ออกมาแถลงในสื่อว่า หากถูกลิงหรือสัตว์ป่าอื่นทำร้ายจนทุพพลภาพ ก็จะได้เงินชดเชย รายละ 100,000 บาทแต่ถ้าเป็นแผลบาดเจ็บ ก็จะได้ค่ารักษาพยาบาล รายละ 30,000 บาท
คงไม่มีประชาชนคนไหนที่ต้องการให้สัตว์ป่าทำร้ายจนทุพพลภาพ แล้วได้เงินไปกินอยู่จนตายเพียง 100,000 บาท หรือถูกทำร้ายบาดเจ็บ แล้วได้ค่าตอบแทนเพียง 30,000 บาท
สิ่งที่ประชาชนต้องการคือ หาทางแก้ไขเป็นการถาวร มิให้สัตว์ป่าภายใต้ความคุ้มครองเหล่านี้ มาทำร้ายประชาชน และมาทำความเสียหายให้แก่ อาคาร ร้านค้า ตลอดจนมาแย่งชิงอาหารของชาวบ้าน จนรถล้มบาดเจ็บกันไปอยู่ทุกวัน
การระดมเจ้าหน้าที่ไล่ลิงบ้าง เอาหนังสติ๊กยิงลิงบ้าง ก็คงจะเป็นมาตรการแบบขอไปที ขายผ้าเอาหน้ารอด หรือไฟไหม้ฟาง ของหน่วยงานของรัฐเท่านั้น
แต่ที่เราต้องการ คือมาตรการถาวรที่ควบคุมความสมดุลอย่างธรรมชาติ (Naturally balanced measure) ซึ่งผู้รับผิดชอบก็น่าจะลองไปคิดดู ทำนวัตกรรมดูบ้าง
หากคิดไม่ออก คอลัมน์นี้ก็จะขอเสนอแบบชาวบ้านมาให้พิจารณาบ้าง จาก หนักไปหาเบา ดังต่อไปนี้
1.ยกเลิก พ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์ป่า กันเสียเลย ซึ่งเป็นมาตรการที่สุดโต่ง (Extreme measure) และผู้ที่จะริเริ่มได้ก็น่าจะเป็นกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้เป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติของประเทศ
2.รองลงมาก็น่าจะได้แก่ การกำหนดอาณาบริเวณการคุ้มครองสัตว์ป่าให้แน่นอน เช่น บางส่วนของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน บางส่วนของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ฯลฯ หรือบริเวณที่เป็นป่า ไม่มีบ้านช่อง ที่พักอาศัย ร้านค้า อันเป็นทำเลอยู่อาศัยของคน และโดยธรรมชาติ สัตว์ป่าก็จะทราบเองด้วยความเคยชินว่า หากพ้นบริเวณดังกล่าว ตนเองจะไม่ได้รับการคุ้มครองแล้ว
3.ถ้ามาตรการเบาลงไปอีก ก็น่าจะได้แก่การผลิตอาหาร ผสมยาคุมกำเนิด เอาไปวางไว้ให้สัตว์ป่า ที่ออกมารังควานชาวบ้าน รับประทาน วิธีนี้อาจจะช้าหน่อย แต่ก็ดีกว่าไล่จับเอาไปตอน ซึ่งยากที่จะสำเร็จได้ เพราะตัวผู้ทุกตัวไม่ใช่จะถูกยอมให้ตอนง่ายๆ
4.อีกวิธีหนึ่ง ก็น่าจะได้ปล่อยให้ชาวบ้านเลี้ยงสัตว์เหล่านี้ไว้ และผลิตเพื่อการส่งออกไปเสียเลย เราคงเห็นข่าวเรือบรรทุกแกะจากนิวซีแลนด์ ไปตะวันออกกลาง
ลำละหลายหมื่นตัว ต้องเลี่ยงจากทะเลแดง ไปอ้อมแหลมกู๊ดโฮปในแอฟริกาใต้ ทำให้แกะได้รับความลำบาก
หลายศาสนาถือว่า การเลี้ยงสัตว์เพื่อการบริโภค มิได้เป็นบาป เพราะเป็นอาหารของมนุษย์ ขอให้วาดภาพดูว่า ถ้าเราคุ้มครอง วัว ควาย เป็ด ไก่ด้วย เขาเหล่านี้ก็คงจะมาเดินกันเต็มถนนราชวงศ์และเยาวราช
บทความนี้ เพียงแต่ชี้แนะให้ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ และผู้ใช้อำนาจบริหาร แทนปวงชนชาวไทย นำไปคิดดู ว่าจะหานวัตกรรมใด มาใช้ในประเทศได้บ้าง
มัวแต่เขียนเรื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาที่ประชาชน หรืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะเดือดร้อน เพราะสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครอง แต่ความเดือดร้อนอื่นๆ ที่มิได้เกิดจากสัตว์ป่า
ก็มีอยู่มาก ผู้ที่เป็นคนใจดี มีเมตตา คอยแก้ไขปัญหาแก่ประชาชนผู้ยากไร้ ก็ยังมีอยู่ อาทิ ผู้สูงวัยที่กำลังเริ่มเป็นต้อกระจก ทำให้ตามัวลงทุกวัน อาจบอดได้หากไม่ได้รับการแก้ไข เพราะงบประมาณของรัฐ มีไม่เพียงพอ หากไปเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลเอกชน ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย 4-6 หมื่นบาทต่อข้าง มูลนิธิพิทักษ์ดวงตาประชาชน จึงได้ถูกจัดตั้งโดยจักษุแพทย์มีชื่อ แพทย์หญิงโสมสราญ วัฒนะโชติ โดยได้เงินเริ่มต้น มาจาก ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย และคุณสินธู ศรสงครามจำนวน 305,500 บาท เมื่อประมาณ 35 ปีมาแล้ว
มูลนิธิพิทักษ์ดวงตาประชาชน จึงสามารถกระจายบริการรักษาโรคตา ออกสู่ชุมชนทุกระดับ ส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกไปทำการรักษาผ่าตัดต้อกระจก เปลี่ยนเลนส์
แก้วตาเทียมในถิ่นทุรกันดาร ให้ผู้ยากไร้เป็นประจำทุกเดือนรวมเวลากว่า 30 ปี ระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา มีโควิด-19 ระบาด ก็มิได้ว่างเว้น ได้ออกไปตามอำเภอและตำบลที่อยู่ห่างไกล มีประชาชนที่ยากจน เช่น อำเภอละงู จังหวัดสตูลอำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุงอำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ อำเภอบ้านลาดจังหวัดเพชรบุรี นับจนถึงปัจจุบัน เปลี่ยนเลนส์แก้วตา กว่า45,000 ดวงตาแล้ว และกระทรวงการคลังได้ประกาศให้มูลนิธินี้ เป็นองค์กรสาธารณกุศล ตามมาตรการ 47แห่งประมวลรัษฎากร เงินบริจาคให้กับมูลนิธิพิทักษ์ดวงตาประชาชน จึงนำไปหักเป็นค่าลดหย่อนภาษีเงินได้ ได้ตามกฎหมาย
พอดีผู้เขียนได้ไปร่วมงานเปิดสำนักงานมูลนิธิ จึงส่งข่าวดีมายังผู้ประสงค์จะทำบุญ ขณะนี้ตั้งอยู่ที่ถนน RCA ชั้นบนของร้านกาแฟสตาร์บัค RCA ตรงข้าม โรงละครมิรินน์โชว์บางกอก และบัญชีของมูลนิธินี้คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ 051-2-15426-4
ท่านที่จะทำบุญสักกี่ดวงตา ก็ร่วมทำบุญได้เลย แต่ละดวงตาที่มูลนิธิทำให้แก่คนยากจน ก็จะมีค่าใช้จ่ายไม่เกิน 5,000 บาท
ส่วนปัญหาจากสัตว์ป่าคุ้มครอง ก็คงจะต้องรอ ทางราชการกันต่อไป หันมาทำบุญให้ผู้ยากไร้ได้มองเห็น จะมีผลทางใจเร็วกว่า, ดีกว่า
ศิริภูมิ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี