ผมก็คงเหมือนๆ กับพวกเราชาวไทยทั่วไป ที่มักจะถามตัวเองว่า
l เหตุใดการเมืองไทยจึงไม่ค่อยมีเสถียรภาพ?
l ทำไมประชาธิปไตยของไทยถึงลุ่มๆ ดอนๆ?
l ทำไมความเจริญก้าวหน้าของประเทศไทยถึงไปไม่ได้เต็มศักยภาพ?
พวกเรานั้นต่างก็พยายามคิดหาทางออกให้กับประเทศไทยไปต่างๆ นานา ซึ่งทางออกหนึ่งก็คือ การขีดเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญ ให้โครงสร้างและสาระเนื้อหาของระบบระบอบการบ้านการเมืองของไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่มีความเป็นสากลสมบูรณ์แบบ รวมทั้งการวางระบบการคานอำนาจ ถ่วงดุล และตรวจสอบ โดยการจัดตั้งองค์กรหรือสถาบันอิสระต่างๆ และบทลงโทษที่เกี่ยวข้อง เป็นต้นด้วย
แต่ทั้งหมดดังกล่าวนี้ก็ยังตกอยู่ในความคิดความอ่านที่ไทยเรารับเอามาจากฝ่ายยุโรปตะวันตก โดยเฉพาะในช่วงประมาณ 200 กว่าปีที่ผ่านมานี้ โดยฝ่ายยุโรปตะวันตกได้แพร่ขยายอิทธิพลครอบงำมา 2 ทางด้วยกันเป็นสำคัญ ได้แก่
1.ลัทธิการล่าอาณานิคม การยึดครองและครอบงำ ด้วยกำลังอาวุธ เทคโนโลยี และความมั่งคั่งมั่งมีทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางกายภาพ
2.การเผยแพร่และครอบงำทางความคิดและความอ่าน ว่าด้วยหลักคิดและปรัชญาทางการเมือง เช่น เสรีนิยม สังคมนิยม รวมทั้งลัทธิมาร์กซ์-เลนิน อนุรักษ์นิยม ชาตินิยม และชาติพันธุ์นิยม ไปจนถึงประชานิยม เป็นต้น
เมื่ออิทธิพลและภยันตรายคุกคามต่างๆ ของฝ่ายยุโรปตะวันตก มาประชิดดินแดนไทย ปฏิกิริยาตอบโต้ก็จำต้องเกิดขึ้นโดยปริยาย เพราะไทยต้องรักษาตัวให้รอด และฉะนั้นไทยก็ต้องมีความทันสมัย เพื่อไม่ให้ฝ่ายยุโรปตะวันตกมารังแกหรือดูถูกดูแคลนได้ และในการนี้ไทยเราก็รับเอาความคิดความอ่าน วิธีการบริหารบ้านเมือง การพัฒนากายภาพของบ้านเมืองแบบ “ฝรั่งๆ” เข้ามาใช้อย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งเดือนมิถุนายน 2475 ประเทศไทยได้มีการล้มเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุขภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งทั้งหมดนี้จัดได้ว่าไทยเราได้ไปลอกเลียนมาจากฝ่ายยุโรปตะวันตกหรือไม่ก็อยากจะทำตัวตนให้เหมือนฝ่ายยุโรปตะวันตก และเราก็ได้ขีดเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับแล้วฉบับเล่า ไปตามเส้นทางและประสบการณ์ของฝ่ายยุโรปตะวันตก โดยมิได้มีอะไรที่ยึดโยงกับพื้นฐาน หรือรากเหง้าของสังคมไทยแต่อย่างใดเลย จึงเท่ากับว่าเราได้เอาระบบความคิด หลักปฏิบัติ และวิธีการของฝ่ายยุโรปตะวันตกมาครอบงำสังคมไทย และได้ตัดขาด มองข้าม หรือลืมเลือน ซึ่งประเพณีวัฒนธรรม หลักคิด ทฤษฎีการเมืองดั้งเดิมของไทยไปอย่างสิ้นเชิง
ผลที่เห็นเป็นประจักษ์มาเป็นเวลา 92 ปี ก็คือความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตยแบบยุโรปตะวันตก และการเกิดขึ้นของลัทธิการเมืองใหม่ๆ เช่น เงินกับการเมือง ครอบครัวหรือราชวงศ์การเมือง ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม การกล่าวเท็จหรือการบิดเบือนข้อเท็จจริง ไปจนถึงลัทธิทหารกับการเมือง เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นดังกล่าวนี้เป็นเพราะทฤษฎีการเมืองและระบบความคิดของฝ่ายยุโรปตะวันตก มุ่งไปในทิศทางของการมีกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย การแบ่งและคานอำนาจ โดยมิได้มีการคำนึงถึงในเรื่องสภาวะจิตใจว่าด้วยศีลและธรรม หรือการเป็นคนดีในและต่อสังคม
ตามหลักคิดของฝ่ายเอเชียโดยทั่วๆ ไป มักจะเริ่มที่ความศักดิ์สิทธิ์ของตำแหน่งและอำนาจหน้าที่ที่จะต้องธำรงอยู่ด้วยหลักธรรม และความยุติธรรม และเมื่อประชาธิปไตยแบบฝรั่งล้มเหลวมาตลอด และดูว่าจะแก้ไขได้ยากลำบาก ถ้าเรายังคิดกันแบบฝรั่งๆ อยู่
ฉะนั้นก็อาจจะถึงเวลาอันสมควรแล้วที่พวกเราชาวไทยจะกลับไปที่รากเหง้าของไทยเรา ที่เริ่มต้นที่เรื่องธรรม หรือความถูกต้องเป็นหลัก ซึ่งเรื่องธรรมนี้ก็อยู่ในทุกศาสนาที่มีผู้นับถืออยู่ในประเทศไทย จึงมิใช่เรื่องแปลกประหลาด และมิใช่เรื่องที่จะเป็นบ่อเกิดแห่งความขัดแย้งแต่อย่างใด
ในกฎหมายรัฐธรรมนูญที่จะมีกันใหม่นี้ ก็ขอเสนอไว้ว่า ต้องเริ่มต้นที่ประเทศไทยจะต้องเป็นแผ่นดินแห่งธรรม และผู้อาสาเข้ามารับใช้บ้านเมืองทุกประเภทและทุกระดับ จะต้องประพฤติในธรรมเท่านั้น มิฉะนั้นก็จะไม่คู่ควรแต่อย่างใดกับตำแหน่งหน้าที่ใดๆ ทั้งสิ้น
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี