เรื่อง“ข้าวเน่ายิ่งลักษณ์” ที่คนทำชื่อ“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ถ่ายเรี่ยราดไว้ จนกลายเป็นคดีความโกงแล้วหนี ปล่อยให้ข้าทาสบริวารตระกูลชินวัตร ทั้งรัฐมนตรีข้าราชการประจำและพ่อค้าที่ทอดตัวรับใช้ต้องติดคุกกันเป็นทิวแถว และนายภูมิธรรม เวชยชัย นำกลับมา“ฟอกขาว” จนกลายเป็นกระแสดราม่าในเวลานี้นั้น ดูจะไม่จบง่ายๆ เสียแล้ว
“เดอะอ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย เล่นใหญ่แบบ“มหกรรมจำอวด“กินข้าวเน่าโชว์”ซึ่งคนจับได้ไล่ทันว่า เลือกตักแต่กับข้าวเข้าปาก ส่วนข้าวก็เขี่ยไว้ข้างจาน พอจุดประเด็นติด จะสังเกตเห็นได้ว่า นายภูมิธรรมซึ่งเป็น“มือวางที่ไว้ใจได้”ของนายใหญ่และนายหญิงแห่งบ้านจันทร์ส่องหล้าชิ่งตัวออกทันที ล่าสุดไปโผล่อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น เดินตรวจสินค้าไทยในซูเปอร์มาร์เก็ต
ส่วนเรื่อง“ข่าวเน่ายิ่งลักษณ์”ที่เมืองไทย ก็ปล่อยให้รัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย สส.พรรคเพื่อไทย และนายชัย วัชรงค์ โฆษกรัฐบาลออกมาเป็นพลทหารหน้าค่ายรับหน้าเป็นหนังหน้าไฟแทน
เรื่อง“ข้าวเน่ายิ่งลักษณ์”ที่เก็บไว้ถึง 10 ปีและมีสารตกค้างจากการรมควันและจากพิษเชื้อราต่าง ๆ มีประเด็นให้พูดถึงอยู่สองประเด็น ทั้งนี้ ประเด็นแรก ข้าวที่ว่านี้กินได้หรือกินไม่ได้ ซึ่งถ้าจะให้ชัดเจนถูกต้องเพื่อจบปัญหา ง่ายนิดเดียวนำไปตรวจสอบในทางวิทยาศาสตร์ ผลออกมาเป็นประการใดก็แถลงไปตามนั้น
และอีกประเด็นหนึ่งที่ถูกขุดขึ้นมาในเวลานี้ ก็คือ ข้าวจำนวน 1.5 แสนล้านกระสอบในสองโกดังที่จังหวัดสุรินทร์ซึ่งนายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมานั้น เป็นข้าวที่“อวตาร”มาจากไหน เพราะเป็นข้าว“เปียกเน่าและล้มกอง”ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเคยตรวจสอบแล้ว
ประเด็นเรื่องข้าวอวตารนี้ สว.สมชาย แสวงการ ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “สมชาย แสวงการ”เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยอ้างเอกสารของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินว่า
“รายงานของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ที่ตรวจสอบการเก็บรักษาข้าวขององค์การคลังสินค้าหรือ อคส. นั้น ย่อมตรงไปตรงมาและน่าเชื่อถือที่สุด เพราะต้องออกตรวจสอบพื้นที่ ทุกโกดังคลังเก็บข้าวจริง อ่านรายงานนี้แล้วจะเห็นพิรุธข้าว 2 โกดังนี้ที่เรียงตั้งไว้อย่างสวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อยผิดปกติ ทั้งๆ ที่กองเก็บไว้นานถึง 10 ปี ซึ่งรายงาน สตง.ชัดเจนครับ ว่า ตรวจนับข้าวไม่ได้ในปี 2565 และ 2566 เนื่องจากข้าวเปียกเน่าและล้มกอง คำถามนี้ ข้าวกองนี้มาได้อย่างไร เรื่องนี้ต้องพิสูจน์กันให้ถึง DNA ครับ”
อย่างไรก็ดี ทั้งสองประเด็นดังกล่าวนั้น คนที่จะทำให้ความจริงปรากฎก็คือรัฐบาล ถ้ารัฐบาลนิ่งเฉยทุกอย่างก็จบ เหมือนที่นายภูมิธรรม เวชยชัย ชอบพูดว่า“อย่าใช้จินตนาการ” คือไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น และอีกไม่นานข่าวเรื่อง“ข้าวเน่ายิ่งลักษณ์”ก็จะกลายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง หากมีประเด็นดราม่าอื่นขึ้นมากลบข่าวนี้แทน
ข่าวใหม่ที่กำลังจะเป็นข่าวใหญ่และเป็นกระแสดราม่านับจากนี้ น่าจะหนีไม่พ้นเรื่อง“กัญชา”ที่นายเศรษฐา ทวีสิน และพรรคเพื่อไทย จะนำกลับไปขึ้นบัญชีเป็นยาเสพติดประเภท 5 ตามเดิม หลังจากที่เพิ่งถูกปลดล็อคออกจากยาเสพติดมาได้ยังไม่ถึง 2 ปี
โดยเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ถือว่า“กัญชาไทย”ได้ถูกปลดออกจากโซ่ตรวนยาเสพติดอย่างเป็นทางการ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูร เป็นเจ้ากระทรวง ได้ออกประกาศกฎกระทรวงสาธารณสุข กำหนดให้สามารถใช้“ทุกส่วนของกัญชา”และสารสกัดกัญชาที่มีสาร THC หรือ CBD ไม่เกิน 0.2 เปอร์เซ็นต์ได้โดยไม่ถือว่าเป็นยาเสพติด อันเป็นไปตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด พ.ศ.2564 ที่ผ่านความเห็นชอบของสมาชิกรัฐสภา พูดง่ายๆ ก็คือ ถอดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดประเภท 5
เจตจำนงสำคัญในการปลดล็อคกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด ก็เพื่อให้สามารถใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และใช้เพื่อการศึกษาวิจัยได้ โดยที่กฎหมายไม่ได้อนุญาตให้ใช้เพื่อสันทนาการหรือการสูบเพื่อความเพลิดเพลินบันเทิงเริมรมย์แต่อย่างใด แต่ทุกวันนี้ที่เหมือนกับว่าจะ“เสรีกัญชา”ในทุกเรื่องได้ โดยเฉพาะเรื่องการสูบเพื่อสันทนาการได้นั้น เพราะยังไม่ได้มีการวางกำหนดกฎเกณฑ์กันอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ หลังจากพรรคภูมิใจไทยที่มีนายอนุทิน วีรกูร เป็นหัวหน้าพรรคและเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สามารถ“ปลดล็อค”กัญชาออกจากบัญชียาเสพติดได้สำเร็จตามที่หาเสียงไว้แล้ว ก็ได้ดำเนินการต่อในการอุดช่องว่างช่องโหว่ที่อาจจจะมีผลกระทบหลังจากที่กัญชาได้รับอิสระเป็นพืชสมุนไพร ซึ่งแม้ว่ากระทรวงสาธารณสุขจะได้ออกประกาศมาควบคุมการใช้ในระดับหนึ่ง ทั้งการให้กัญชาเป็นสมุนไพรควบคุม และประกาศกรมอนามัยไม่ให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ใช้กัญชาได้ แต่ก็จำเป็นต้องมีกฎหมายเฉพาะเจาะจงเพื่อให้การควบคุมเป็นไปอย่างเข้มแข็ง
ด้วยเหตุดังนั้น พรรคภูมิใจไทยจึงได้เสนอร่างกฎหมาย“พ.ร.บ.กัญชา กัญชง”เพื่อควบคุมการใช้กัญชา อันเป็นการป้องกันปัญหาที่จะส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้เปราะบาง เช่น กลุ่มเด็ก เยาวชน และสตรีมีครรถ์ ถ้าหากมีการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ
ปรากฏว่าแม้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะผ่านสภาผู้แทนฯ ในวาระแรก แต่สุดท้ายในวันที่ 14 กันยายน 2565 ร่างกฎหมายฉบับนี้ก็ถูก“เตะตัดขา”ในวาระสองหลังจากผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ โดยพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านในเวลานั้นจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้พรรคภูมิใจถอนร่างนี้ออกจากสภาฯไปพิจารณาแก้ไขใหม่ ถ้าไม่ยอมก็จะ“โหวตคว่ำ” ในที่สุดที่ประชุมก็มีมติด้วยเสียงข้างมากให้ถอนร่างนี้ออก
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ การเมืองเรื่อง“กัญชาภาค 2” ก็ถูกหยิบขึ้นมาใหม่ เป็นการฟาดฟันระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย ทั้งสองพรรคเป็นพรรครัฐบาลที่ผสมพันธุ์กันอยู่ในเวลานี้ ต่างจากภาคแรกที่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน ขณะที่พรรคภูมิใจไทยเป็นฝ่ายรัฐบาล
จึงไม่น่าแปลกใจทำไม“นายใหญ่”เจ้าของคอกพรรคเพื่อไทยจึงวางตัวนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพราะกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไป ดังที่รัฐมนตรีผู้นี้เพิ่งให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคมว่า นายเศรษฐา ทวีสิน ขีดเส้นตายให้ดำเนินการเรื่องถอดกัญชาออกจากเสพติดให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้
ส่วนที่มีข่าวว่านายสมศักดิ์ เทพสุทิน สมัยเมื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในรัฐบาลชุดที่แล้วเห็นด้วยกับการถอดกัญชาออกจากยาเสพติดนั้น นายสมศักดิ์ชี้แจงกับผู้สื่อข่าวว่า “สมัยเป็นรัฐมนตรีฯยุติธรรม...อะไรที่เรายังไม่รู้จริง อะไรที่ยังไม่ชัดเจนจริง เราไม่มีสิทธิ์ไปค้านหรือไปทำความเข้าใจอะไร ซึ่งในการประชุม ป.ป.ส.หลายครั้ง คนที่ไม่เห็นด้วยกับกัญชาคือ กระทรวงการต่างประเทศ เนื่องจากเกี่ยวข้องอนุสัญญาระหว่างประเทศ แต่นอกรอบมีคนที่ไม่เห็นด้วยรุนแรง มีทั้งกระทรวงการต่างประเทศ ป.ป.ส. และตำรวจ”
ศึกครั้งนี้เห็นทีว่าคงไม่จบง่ายๆ และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน อาจจะไม่รู้หรือรู้แล้วมั่วนิ่มโดยอ้างกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงในปี 2562 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำให้รัฐบาลทุกประเทศที่เป็นสมาชิก-ตัดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี