ความคืบหน้าการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท เท่ากันทั่วประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาล
1. เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (26 ธันวาคม 2566) รับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 12) ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2566
นั่นคือ กรณีขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป
ครั้งนั้น คณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) ได้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2567 จำแนกเป็น 17 อัตรา อัตราวันละ 330-370 บาท ในกรุงเทพมหานครและ 76 จังหวัด
2. ต่อมา คณะรัฐมนตรีมีมติ (2 เมษายน 2567) รับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำประเภทกิจการโรงแรม ลงวันที่ 27 มีนาคม 2567
นั่นคือ กรณีขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน 2567 เป็นต้นไป
ซึ่งก็คือ การให้ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่ม เป็นอัตราวันละ 400 บาท (ปรับเพิ่มอัตรา วันละ 30-55 บาท แล้วแต่เขตพื้นที่) เฉพาะนายจ้างและลูกจ้างที่ทำงานในสถานประกอบกิจการประเภทกิจการโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไป และมีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ในพื้นที่ 10 จังหวัดนำร่อง ในเขตพื้นที่ที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวสูง
ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดกระบี่ ชลบุรี เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ พังงา ภูเก็ต ระยอง สงขลา และสุราษฎร์ธานี
3. ล่าสุด ในการประชุม ครม. เห็นชอบแนวทางการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาททั่วประเทศ
โดยระบุถึงเหตุผลความจำเป็นว่า เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ราคาน้ำมันมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภค-บริโภคที่จำเป็นในการครองชีพของผู้ใช้แรงงานมีการปรับราคาเพิ่มขึ้น หรือมีการปรับลดขนาดหรือปริมาณลง จึงสมควรที่จะทบทวนการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2567 อย่างไรก็ตามเพื่อให้การพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของคณะกรรมการค่าจ้างเป็นไปด้วยความรอบคอบ เหมาะสม เป็นธรรม อยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาคเป็นที่ยอมรับร่วมกันของทุกฝ่าย และไม่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศหรือมีผลกระทบต่อราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อ
กระทรวงแรงงาน จึงมีแนวทางการดำเนินการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท เท่ากันทั่วประเทศ ดังนี้
4. ตามแนวทางข้างต้นนั้น ก็คือการดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย
เพราะสุดท้าย จะต้องผ่านคณะกรรมการไตรภาคีพิจารณาอนุมัติ หรือไม่อนุมัติ
โดยแผนมีเจตนาจะให้อนุมัติ จึงพยายามดึงผู้เกี่ยวข้อง ทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง เข้ามาหารือพูดคุย รวมถึงรับฟังผลกระทบ เพื่อที่จะหาแนวร่วมการสนับสนุนจากผู้ประกอบการที่ต้องรับภาระค่าจ้างเพิ่มขึ้นนั่นเอง
สุดท้าย คงจะต้องประนีประนอม พูดคุยตกลงกันต่อไป
5. เมื่อวันที่ 14 พ.ค.2567 การประชุมคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 ครั้งที่ 5/2567 ว่า ที่ประชุมก็มีมติไปตามแนวทางข้างต้น
โดยการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำ จะให้คณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดเป็นผู้พิจารณาว่าแต่ละจังหวัดจะมีการขึ้นค่าจ้างในอัตราเท่าไหร่
และให้กำหนดวันที่จะบังคับใช้ด้วยว่าควรบังคับใช้ 1 ตุลาคม 2567 หรือ 1 มกราคม 2568
เท่ากับว่า การพิจารณาค่าจ้างภายใต้คณะกรรมการไตรภาคี จะให้คณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดก่อน ในการจัดประชุมเพื่อพิจารณานำเสนอแนะอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของจังหวัด ภายใต้กรอบแนวคิดในเรื่องของค่าครองชีพของจังหวัดนั้นๆ สภาพเศรษฐกิจ สภาพเงินเฟ้อ และที่สำคัญที่ต้องมอง คือ ราคาสินค้าในท้องตลาดของจังหวัดนั้นๆ ด้วย เนื่องจากบริบทของแต่ละจังหวัดไม่เหมือนกัน
ปลัดแรงงาน นายไพโรจน์ เปิดเผยว่า ต้องเข้าใจว่าในบางกิจการที่มีกำลังน้อย เช่น ธุรกิจเอสเอ็มอี ค้าปลีก ค้าส่งหรือแม้กระทั่งภาคเกษตร ชาวสวน ชาวไร่ ซึ่งต้องมาดูรายละเอียด
“อยากให้จังหวัดซึ่งรู้บริบทความต้องการความจำเป็นของการจ้างงานในจังหวัดนั้นๆ เสนอมาให้คณะอนุกรรมการวิชาการและกลั่นกรองพิจารณาความต้องการความจำเป็นของการขึ้นค่าจ้าง
เพื่อเสนอมาให้คณะกรรมการค่าจ้างชุดใหญ่ มาเคาะพิจารณาเป็นครั้งสุดท้ายก่อน
ซึ่งไทม์ไลน์จะให้คณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2567 นี้
จากนั้น คณะอนุกรรมการวิชาการและกลั่นกรองพิจารณา และคณะกรรมการค่าจ้างชุดใหญ่จะดำเนินการการพิจารณาค่าจ้างให้แล้วเสร็จเพื่อให้เป็นไปตามไทม์ไลน์ที่กำหนดไว้
โดยคณะกรรมการค่าจ้างจะทำให้มีความเหมาะสม ถูกต้อง ครบถ้วน และตรงกับความต้องการทั้งฝั่งนายจ้างและฝั่งลูกจ้าง เพื่อหาจุดสมดุลระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่จะทำให้เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบแนวทางการพิจารณาให้ใช้สูตรการคำนวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามมติที่ประชุมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ที่นำมิติของเวลามาใช้ในสูตรฯ ประกอบกับการพิจารณาตัวแปรเชิงคุณภาพตามมาตรา 87 โดยคำนึงถึงความจำเป็นในการครองชีพของลูกจ้าง ความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง และเศรษฐกิจและสังคม ในบริบทของแต่ละจังหวัด
ทั้งนี้ คณะกรรมการค่าจ้างจะได้นำข้อเสนออัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดกับข้อมูลเศรษฐกิจ สังคม และแรงงานในภาพรวมทั้งระดับประเทศมาพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำต่อไป”
6. ในความเป็นจริง ประเด็นเรื่องค่าแรงขั้นต่ำจะปรับขึ้นอย่างไร มีแนวทางชัดเจนอยู่แล้วตามกฎหมาย
แต่การเมืองแบบนโยบายประชานิยมกลับนำไปใช้เป็นเครื่องมือหาเสียง
จนกระทั่งเคยเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจมาแล้ว เมื่อครั้งขึ้นค่าแรงในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์
มาครั้งนี้ นโยบายค่าแรงภายในปีนี้ 400 บาทก็จึงต้องมีปัญหาเช่นนี้
หากจะเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศแม้จริง นโยบายรัฐบาลควรมุ่งไปที่การเพิ่มความสามารถให้กับแรงงาน เพิ่มผลิตภาพ เพื่อให้แรงงานได้ค่าจ้างแพงขึ้น แล้วนายจ้างก็ได้ผลผลิตมากขึ้น มีรายได้มากขึ้นด้วย
สิ่งที่กระทรวงแรงงาน ดำเนินการอยู่บ้างแล้ว โดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน คือ การอัพสกิล รีสกิล ให้กลุ่มลูกจ้าง
นี่ต่างหากที่รัฐบาลควรทุ่มเททรัพยากร และนายจ้างควรสนับสนุนส่งเสริมด้วย จึงจะวิน-วิน
แต่น่าเสียดาย อาจเพราะการอัพสกิล-รีสกิล ไม่ใช่นโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย รัฐบาลก็เลยไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าใดนัก
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี