หลังการเสียชีวิตของ “นางสาวเนติพร เสน่ห์สังคม” หรือ “บุ้ง ทะลุวัง” เพจเฟซบุ๊ก “พรรคก้าวไกล - Move Forward” ของพรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความว่า
“พรรคก้าวไกลขอแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของคุณเนติพร เสน่ห์สังคม (บุ้ง) นักกิจกรรมทางการเมืองกลุ่มทะลุวัง
“ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย กับประเด็นและวิธีการที่คุณบุ้งแสดงออกในช่วงที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลขอยืนยันหลักการว่า ในสังคมประชาธิปไตย สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนต้องได้รับการรับรอง ไม่ควรมีใครต้องติดคุกเพียงเพราะเห็นต่างทางการเมือง ไม่ควรมีใครถูกปฏิเสธสิทธิในการได้รับประกันตัว ซึ่งเป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญให้การรับรอง เพียงเพราะเห็นต่างทางการเมือง และไม่ควรมีใครถูกผลักให้ต้องต่อสู้ด้วยวิธีการที่เสี่ยงเป็นอันตรายต่อชีวิต
“เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันสร้างพื้นที่ปลอดภัยเพื่อหาทางออกต่อความขัดแย้งทางการเมืองในอดีตและที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคืนสิทธิประกันตัวแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยคดีการเมืองที่อยู่ระหว่างต่อสู้คดี การเร่งพิจารณากระบวนการนิรโทษกรรมคดีที่มีมูลเหตุทางการเมือง และฟื้นความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมสำหรับประชาชนทุกคน”
เรามาดูวิเคราะห์ข้อความของพรรคก้าวไกล เพื่อดูว่าเขามี “ความจริงใจ” หรือยังคงเลือกจะ “กดหัวคนไว้กับความเข้าใจผิด” เพื่อ “ประโยชน์ทางการเมือง”ของพวกเขา
1) ขีด “เส้นใต้บรรทัด” ให้กับข้อความนี้
“...พรรคก้าวไกลขอยืนยันหลักการว่า ในสังคมประชาธิปไตย สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนต้องได้รับการรับรอง ไม่ควรมีใครต้องติดคุกเพียงเพราะเห็นต่างทางการเมือง...”
เห็น “ความฉ้อฉล” ของการให้หลักการจากข้อความนี้กันไหมครับ
1.1. ทุกสังคมมนุษย์ โดยเฉพาะ “สังคมประชาธิปไตยสิ่งที่ “พรรคการเมือง” ซึ่งเป็น “สถาบันหลัก” ที่สำคัญหน่วยหนึ่งของ “สังคมประชาธิปไตยในระบบตัวแทน” ควรบอกกล่าวแก่สมาชิกร่วมสังคม โดยเฉพาะกับเด็ก เยาวชน และคนที่มีความรู้ความเข้าใจน้อยกว่า คือ เราต้องใช้สิทธิและเสรีภาพของเรา ด้วยความรับผิดชอบต่อผู้อื่น ดังนั้น สิทธิและเสรีภาพจึงมีขอบเขตและเงื่อนไขจำกัดบางประการ
1.2. ไม่มีสังคมประชาธิปไตยไหน เรียกการ ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายผู้อื่น ว่า “สิทธิเสรีภาพ”ยิ่งกับ “ประมุขแห่งรัฐ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “ความมั่นคงของรัฐ” ด้วยแล้ว ไม่มีสังคมไหนไม่ให้ความคุ้มครอง และยินยอมให้มีการละเมิด โดยโกหกตอแหลและบิดเบือนว่า เป็น “สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก”
1.3. การยืนยันและสื่อสารหลักการที่ให้ความจริงครึ่งๆ กลางๆ และทำให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นนี้ พรรคก้าวไกลต้องการอะไร เหยื่อ เครื่องเซ่นสังเวยในทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของตัวเองใช่หรือไม่? หรือเป็นเพียงสถาบันทางการเมืองที่ “โง่เขลาเบาปัญญา” สำหรับผม มองว่า เป็นกรณีแรกครับ
1.4. บุ้งทำผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีคนไปแจ้งความดำเนินคดี เธอถูกตั้งข้อหา และส่งฟ้องศาล และถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดี เธอจึงมิได้ “ติดคุกเพราะเห็นต่างทางการเมือง” เธอติดคุกเพราะ “ต้องคดีอาญา”
1.5. คำว่า “ไม่ควรมีใครต้องติดคุกเพียงเพราะเห็นต่างทางการเมือง...” เป็น “วาทกรรมอำมหิต” บิดเบือน กดหัวให้โง่งม เพื่อจะฉกฉวยใช้เป็นประโยชน์ทางการเมือง
ของตัวเอง ถ้าสิ่งที่บุ้งทำเป็นแค่ “เห็นต่างทางการเมือง” ทำไมหัวหน้าพรรคก้าวไกล สส. และสมาชิกพรรคไม่ออกมาทำอย่างเธอล่ะครับ? ก็มันแค่ “ความเห็นต่างทางการเมือง” เอง ไม่ใช่เหรอ พวกคุณคือนักการเมืองคือพรรคการเมือง ออกมาแสดงความเห็นต่างทางการเมืองแบบที่ “บุ้ง” ทำสิ ถ้ามันเป็นแค่นั้น ทำไมพวกคุณนั่งดู “บุ้ง” ทำ โดยที่พวกคุณไม่ร่วมกันทำ เพื่อยืนยันหลักการนี้ล่ะ?หรือที่จริง พวกคุณแค่เอาเปรียบเธอ และหาประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของเธอเท่านั้น
1.6. คุณเกิดที่ไหน และเรียนจบอะไรกันมาหรือครับ ถึงเรียกการ “ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย” ว่าเป็น “ความเห็นต่างทางการเมือง” คุณสอนลูกสอนหลานของพวกคุณอย่างนี้ไหมครับ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ สอนคุณมาอย่างนี้หรือครับ คุณไม่เคยเฉลียวใจแบบที่ “มนุษย์” สักคนหนึ่ง พึงจะต้องเฉลียวใจเลยหรือครับ ว่า ไม่ควรมีมนุษย์คนใด ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย มนุษย์อีกคน เพราะนั่นคือการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ บั่นทอนหลักการที่พรรคก้าวไกลหากินมาตลอดว่า “คนเท่ากัน”
1.7. ก็ถ้า “คนเท่ากัน” ทำไมคุณไม่สอนให้คน “เคารพกัน”แทนการ “ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย”ต่อกันล่ะครับ สังคมมนุษย์จะสงบได้ เพราะการดูหมิ่นหมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายกัน อย่างนั้นหรือครับ ประเทศเราจะเจริญก้าวหน้า “กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” เพราะอนุญาตให้คนดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายกันได้ เพราะมันเป็นเพียง “เห็นต่างทางการเมือง”อย่างนั้นหรือครับ ผมเห็น สส. และสมาชิกพรรคของคุณ แจ้งความ ดำเนินคดี “หมิ่นประมาท” กันไว้ ตั้งหลายคนนี่ครับ ทำทำไมล่ะ ไม่เคารพ “ความเห็นต่างทางการเมือง” แล้วเหรอ เวลามีคนวิจารณ์พรรคคุณ กองเชียร์พวกคุณก็จัดทัวร์ไปถล่มเขา นั่นหรือครับ ที่เป็นพฤติกรรม“เคารพความเห็นต่าง”
2) ขีด “เส้นใต้บรรทัด” ให้กับข้อความนี้
“...ไม่ควรมีใครถูกปฏิเสธสิทธิในการได้รับประกันตัวซึ่งเป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญให้การรับรอง เพียงเพราะเห็นต่างทางการเมือง...”
2.1. ข้อเท็จจริงแรก “บุ้ง” เคยได้รับการประกันตัวมาแล้วครับ แต่เธอ “ทำผิดเงื่อนไขการให้ประกันตัว”ศาลสั่งเพิกถอน เธอจึงต้องกลับเข้าคุกอีกครั้ง
2.2. น่าแปลกใจมาก ที่ลำพังแค่ “ความสุจริตต่อความจริงพื้นฐาน” แค่นี้ “พรรคก้าวไกล” ยังเลือกจะ “บิดเบือน” เลยครับ เขาไม่ใช่พรรคของสุจริตชน-ปัญญาชน หรือครับ?
2.3 สิทธิในการขอประกันตัวมีอยู่เสมอครับ แต่ศาลถูกกำหนดให้ใช้ดุลพินิจกลั่นกรองว่า ต้องปล่อยตัวตามคำขอนั้นหรือไม่ ไม่ใช่ว่าขอก็ต้องให้เสมอไป เพราะมักจะมีอีกฝ่าย ยื่น “คัดค้านการประกันตัว” ไว้ด้วยเสมอ
2.4. เมื่อยื่นคำร้องขอประกันแล้ว ศาลจะพิจารณาเรื่องเหล่านี้ ประกอบในการพิจารณาสั่งคำร้อง คือ
1.ความหนักเบาแห่งข้อหา 2.พยานหลักฐานที่นำสืบแล้วมีเพียงใด 3.พฤติการณ์ต่างๆ แห่งคดีเป็นอย่างไร4.เชื่อถือผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันได้เพียงใด5.ผู้ต้องหาหรือจำเลยน่าจะหลบหนีหรือไม่ 6.ภัยอันตรายหรือความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการปล่อยชั่วคราวมีเพียงใด 7.คำคัดค้านของพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ
2.5. เห็นไหมครับว่า พรรคก้าวไกล “ไม่แยแส” การมีอยู่ของหลักการหรือข้อกฎหมายพวกนี้เลย และที่น่าประหลาดใจมากว่า ในคดีอาญาและคดีแพ่งอีกมากมาย ที่มีผู้ต้องหาหรือจำเลย ไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างพิจารณาคดีเหมือนกัน แต่พรรคก้าวไกลก็ไม่เคยแยแสพวกเขาไม่เคยเรียกร้อง ไม่เคยต่อสู้แทน แต่ถ้าเป็นคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ละก็ จะต้องรีบออกมาแสดงตัวและบิดเบือนทั้งหลักการและข้อเท็จจริงเช่นนี้ร่ำไปพรรคก้าวไกลต้องการอะไร?
2.6. การให้ประกันหรือไม่ให้ประกัน มีการเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นกฎหมาย เป็นหลักการปฏิบัติหมดแล้ว หากไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ขัดหรือแย้ง
กับรัฐธรรมนูญ มันจะบังคับใช้ได้มาจนถึงป่านนี้หรือครับ และถ้าพรรคก้าวไกลเห็นว่าไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญทำไมไม่ร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เพิกถอนมันเสียล่ะครับ เอาแต่ตีฝีปากบิดเบือนอยู่ทำไม?
2.7. ถ้าพรรคก้าวไกล เป็นองค์กรแห่งสุจริตชนเป็นองค์กรแห่งสติปัญญา ไม่มุ่งหาประโยชน์จาก “ความไม่รู้”ของคน พรรคก้าวไกลควรพูดให้ชัดว่า แม้หลักการใหญ่ตามรับธรรมนูญจะบอกว่า ผู้ที่ศาลยังมิได้พิพากษาจนถึงที่สุด ให้ถือว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่นั้น มิได้แปลว่าเขาจะไม่ถูกคุมขัง เพราะมีกฎหมายย่อยกำหนดไว้ให้ควบคุมตัวระหว่างพิจารณาคดีได้ ดังนั้น สมาชิกพรรคก้าวไกลและผู้สนับสนุน หรือผู้มีอุดมการณ์ “ปฏิกษัตริย์นิยม” เหมือนพรรคก้าวไกล ควรรู้ไว้ เพื่อจะได้ไม่กระทำผิดและต้องถูกคุมขังดังกล่าว ซึ่งผมไม่เชื่อว่า พรรคก้าวไกลจะโง่เขลากับความจริง หลักการ และข้อกฎหมายนี้แต่เขาไม่บอก หรือบอกให้คนของเขาเข้าใจไปอีกทางเพื่ออะไร?
2.8. คำว่า “เห็นต่างทางการเมือง” ก็ยังคงถูกลากมาใช้อย่างพร่ำเพรื่อ เป็นวาทกรรมที่ประดิดประดอยขึ้นมาอย่างมีจุดมุ่งหมายใช่หรือไม่ ไม่ใช่เพื่อปลดปล่อยคนจากความไม่รู้หรือเข้าใจผิดแน่ๆ แล้วพรรคก้าวไกลพยายามย้ำคำนี้เพื่ออะไร?
3) ขีด “เส้นใต้บรรทัด” ให้กับข้อความนี้
“...ไม่ควรมีใครถูกผลักให้ต้องต่อสู้ด้วยวิธีการที่เสี่ยงเป็นอันตรายต่อชีวิต...”
3.1. มีกี่ครั้งครับ ที่พรรคก้าวไกลใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุด ในการบอกกล่าวกับคนที่เลือกวิธี “อดอาหาร”ระหว่างถูกคุมขังว่า มันไม่ช่วยอะไร เพราะการที่เขาถูกคุมขังไม่ใช่เพราะเขา “กินอาหาร” ไม่ว่าเขาจะกินหรือไม่กิน ราชทัณฑ์หรือเรือนจำก็ยังต้องจัดอาหารและน้ำดื่ม หรือแม้แต่หยูกยา ให้ตามปกติอยู่ดี
3.2. มีกี่ครั้งครับ ที่พรรคก้าวไกลส่งคนไปบอกคนที่ “อดอาหาร” ระหว่างถูกคุมขัง ว่า เป็นวิธีที่ “เป็นอันตรายต่อชีวิต” พรรคก้าวไกลไม่เห็นด้วย และวิงวอนให้ยกเลิกการอดอาหารเสีย
3.3. จะเห็นได้ว่า หลายครั้งที่ยื่นขอประกันตัวกับศาล แล้วอ้างว่า จำเลยมีอาการป่วย ป่วยหนัก ก็ไม่เคยได้รับการปล่อยตัว เพราะการป่วยนั้น เป็นสิ่งที่จำเลย“ทำขึ้นมาเอง” หรือ “ทำให้เกิดแก่ตัวเอง” มิได้เกิดจากการกระทำของเรือนจำ จึงไม่มีเหตุให้ต้องปล่อยตัวออกจากเรือนจำ ส่วนการเจ็บป่วย ศาลเคยขอใบรับรองแพทย์มาประกอบการพิจารณา และยืนยันชัดว่า ผู้ป่วยอยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์แล้ว ไม่มีเหตุต้องเปลี่ยนแปลงคำสั่งดังนั้น การอดอาหารของบุ้ง ของตะวัน หรือของแฟรงค์จึงเป็นวิธีที่ “ทำเอง” และ “เป็นอันตรายแก่ตัวเอง” ซึ่งพรรคก้าวไกลไม่เคยพยายามไป “ระงับ” เลย
3.4. กรณี “บุ้ง” นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เคยเป็น “นายประกัน” ให้ ต่อมาบุ้งขอถอนประกันตัวเอง พิธาจึงพ้นจากการเป็นนายประกัน แต่กระนั้น หากนายพิธาไม่ใจจืดใจดำ และยึดมั่นในหลักการตามแถลงการณ์นี้ของพรรคก้าวไกล ทำไมนายพิธาไม่ไปขอเยี่ยม หรือฝากจดหมายไปกับทนายความที่เข้าเยี่ยม เพื่อโน้มน้าวใจให้ “บุ้ง” หยุดอดอาหาร และหยุด “ปฏิเสธการรักษาพยาบาล” ของเรือนจำล่ะครับ?
3.5. เป็น “พิธา” คนเดียวกันใช่ไหม ที่เคยมองเห็น “พิพิม” ลูกสาว ในดวงตาของ “ตะวัน” และ “แบม”เคยส่งจดหมายไปหาพวกเธอ เป็นกำลังใจและสนับสนุนการต่อสู้ ในวันที่ “ตะวัน” เลือกวิธี “อดอาหาร” ซึ่งเป็น “วิธีการที่เสี่ยงเป็นอันตรายต่อชีวิต” ดังข้อความของพรรคก้าวไกล พิธายังเห็น “พิพิม” ในดวงตาลึกโบ๋ ที่เป็นผลจากการ “อดอาหาร” ของตะวันอยู่ไหมครับ จนเกิดเหตุ “บุ้ง”เสียชีวิต พิธาเคยเรียกร้อง พยายาม ยับยั้งการ “อดอาหาร” ของผู้ต้องขังเหล่านี้บ้างไหมครับ
3.6. ทำไมพรรคก้าวไกลมีแต่ข้อความหล่อๆ แต่ไม่เคยมีการปฏิบัติตามข้อความเหล่านั้นเลยล่ะครับ?
4) ขีด “เส้นใต้บรรทัด” ให้กับข้อความนี้
“...เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันสร้างพื้นที่ปลอดภัยเพื่อหาทางออกต่อความขัดแย้งทางการเมืองในอดีตและที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน...”
4.1. ถามพรรคก้าวไกลหน่อยเถิดว่า การดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาต มาดร้าย การคุกคามขบวนเสด็จ ฯลฯ ที่เป็นเหตุนำมาสู่การจับกุมคุมขัง นั่นคือการ “สร้างพื้นที่ปลอดภัย” ขึ้นในสังคมแล้วหรือครับ พรรคก้าวไกลจึงให้ท้ายพฤติกรรมเหล่านี้
4.2. เป็นพรรคก้าวไกล หรือคนในเครือข่ายของพรรคก้าวไกลเองไหมครับ ที่แพร่กระจาย “ฐานคิดที่ผิด” แก่ผู้สนับสนุน จนเกิด “พื้นที่ไม่ปลอดภัย”ทั้งกับพวกเขาเอง และประชาชนคนอื่นๆ ตลอดจนพระมหากษัตริย์
4.3. เป็นพรรคก้าวไกลและพวกหรือเปล่าครับที่ยุยงส่งเสริม แทนการให้ความรู้ ให้สติ เมื่อเห็นคนที่สนับสนุนฝ่ายตัวเองทำผิด จนผลักคนเหล่านั้นเข้าสู่ “พื้นที่ไม่ปลอดภัย” มีประวัติอาชญากรรม มีคดีติดตัว
4.4. “การอดอาหาร” และ “การปฏิเสธการรักษาพยาบาล” เป็นพื้นที่ไม่ปลอดภัยที่ใครสร้างขึ้นครับ?
5) ขีด “เส้นใต้บรรทัด” ให้กับข้อความนี้
“...การเร่งพิจารณากระบวนการนิรโทษกรรมคดีที่มีมูลเหตุทางการเมือง และฟื้นความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมสำหรับประชาชนทุกคน...”
นี่แหละครับ “เป้าหมาย” ของพรรคก้าวไกล เขาใช้ความตายของ “บุ้ง” เพื่อจะดัน “กฎหมายนิรโทษกรรม” ของพวกเขา เพื่อ สส.หลายคนของเขา (ที่มีคดีติดตัว) และเพื่อแกนนำมวลชนที่สนับสนุนเขา แต่ไม่ใช่เพื่อ “รักษาหลักการประชาธิปไตย” ที่คนต้อง “เคารพกัน” จะดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายกัน หรือใช้ความเท็จมา
กล่าวหากัน มิได้
สิ่งที่ผมคิดว่าต้องเกิด คือ การเร่งกระบวนการไต่สวนและพิจารณาคดี เพื่อให้ตัดสินคดีได้อย่างรวดเร็ว และยังคงรอบคอบและเป็นธรรม ร่นเวลาการคุมขังลง หรือง่ายกว่านั้นคือ หยุดสร้างสถานการณ์ให้ตัวเองหรือ “เหยื่อทางการเมือง” ถูกจับกุมคุมขัง
เมื่อได้สิทธิประกันตัวแล้ว ให้เคารพเงื่อนไข เข้าคุกแล้ว ให้กินอาหาร รับการรักษา
สถานการณ์ที่น่าสะท้อนใจ และแถลงการณ์ที่ฉกฉวย กัดแทะความตาย อิ่มอร่อยเพื่อฉวยใช้เป็นแรงส่งไปสู่จุดหมายปลายทางของบางพรรคการเมือง แบบที่เกิด จะได้ไม่เกิด!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี