การอยู่ร่วมกันของกลุ่มคนจำนวนมากจนกลายเป็นชาตินั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกฎหมายกฎระเบียบให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข และหากผู้ใดทำผิดกฎที่บัญญัติไว้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ก็จะต้องได้รับการลงโทษมากน้อยแล้วแต่กรณีตามที่ได้ถูกบัญญัติไว้ในกฎหมาย โดยไม่มีข้อละเว้นกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า กฎหมายฉบับแรกของประเทศไทยที่มีชื่อว่าพระอัยการลักษณะอาญาหลวงนั้น ได้ถูกบัญญัติไว้ตั้งแต่รัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ พระเจ้าอู่ทอง พระมหากษัตริย์พระองค์แรกของอาณาจักรอยุธยา ซึ่งมีลักษณะของกฎหมายครอบคลุมประเด็นที่ถือว่าเป็นความผิดอยู่หลายลักษณะด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของการละเมิดต่อร่างกายของผู้อื่น จนทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ลักษณะของการละเมิดต่อทรัพย์สินซึ่งรวมไปถึงการกระทำที่เรียกว่าฉ้อราษฎร์บังหลวงด้วย
กฎหมายที่เกี่ยวกับการฉ้อราษฎร์บังหลวงในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีสาระสำคัญ ในการดำรงไว้ซึ่งพระเกียรติยศของพระเจ้าแผ่นดิน โดยพระอัยการลักษณะอาญาหลวงตามที่กล่าวนั้น ได้ถูกตราขึ้นไว้เมื่อปีพุทธศักราช ๑๘๙๕ โดยมีบทบัญญัติว่า “พระเจ้าอยู่หัว มิได้ตรัสใช้ให้ไปราชการใดๆ แต่ไปด้วยตนเองก็ดี หรือมิได้ตรัสใช้ แต่อ้างว่าทรงใช้ก็ดี และไปกระทำการรุกราษฎร์ ข่มเหงไพร่ฟ้า เก็บเอาทรัพย์สินสิ่งของใดๆ ผู้นั้นมีความผิดฐานรุกราษฎร์เกินเลยให้ลงโทษ ๘ สถาน”
ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ได้มีการตรากฎหมายเพิ่มเติมว่า “อัครมหาเสนาบดี และเสนาบดี มุขมนตรี บังคับบัญชากิจราชการ ผิดพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา อย่าได้กระทำตาม ถ้าผู้ใดเห็นแก่สินจ้าง สินบน มิได้ทัดทานและกระทำตามบังคับบัญชาที่ผิดกำหนดธรรมเนียมนั้น ให้ลงโทษผู้มิทัดทาน ๖ สถาน”
การฉ้อราษฎร์บังหลวง ถือเป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งซึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ให้ความหมายว่า การที่พนักงานเจ้าหน้าที่เก็บเงินจากราษฎรแล้วไม่ส่งหลวงหรือเบียดบังเงินหลวง หรือหมายความว่ารีดนาทาเร้นประชาชน และเบียดบังทรัพย์สินของหลวงเป็นของตน และยังได้ให้ความหมายของคำว่าคอร์รัปชั่น หมายถึงการฉ้อราษฎร์บังหลวง การเบียดบังเอาโดยอำนาจหน้าที่ราชการ การที่เจ้าพนักงานเรียกและรับสินบนจากราษฎร จัดได้ว่าเป็นฉ้อราษฎร์ เพราะเป็นการเรียกหรือเก็บรับเอาเงิน หรืออามิสอย่างอื่นเพื่อปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติราชการ แต่การบังหลวง เป็นการที่เจ้าพนักงานทำทุจริตต่อหน้าที่เสียหายต่อผลประโยชน์ของแผ่นดิน ทั้งนี้จะเป็นการสมคบกับราษฎรเบียดบังผลประโยชน์นั้นหรือไม่ก็ได้
ภายหลังจากที่ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยบุคคลกลุ่มหนึ่ง ทั้งนายทหารและผู้ที่ฝักใฝ่ในรูปแบบการปกครองแบบยุโรป ได้กระทำการอุกอาจยึดอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ ๒๔๗๕ ซึ่งทำให้การปกครองของประเทศไทยเปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบที่ถูกเรียกขานว่าประชาธิปไตย ซึ่งทำให้การบังคับใช้กฎหมายซึ่งแต่เดิมนั้นพระมหากษัตริย์จะมีบทบาทเป็นอย่างมาก ก็กลับกลายเป็นว่ามาอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของคณะหรือกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
หลังจากนั้นก็มีเรื่องเลวร้ายซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำในประเทศไทย คือการฉ้อราษฎร์บังหลวง และก็เกิดอย่างจริงจังมากขึ้น โดยเริ่มจากการที่คณะราษฎร์ ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่ยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์นั่นเอง ได้เบียดบังเอาทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์จำนวนไม่น้อย ไปเป็นทรัพย์สินสมบัติส่วนบุคคลส่วนของตนและหมู่คณะ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่เลวร้าย การเบียดบังยักยอกทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและไม่ควรจะเกิดขึ้น ซึ่งความจริงเรื่องนี้ก็คือการคอร์รัปชั่นนั่นเอง และเรื่องนี้น่าจะเป็นรากเหง้าของการที่ทำให้นักการเมืองบางคนในยุคต่อๆ มาที่มีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศ ได้พยายามฉกฉวยหาประโยชน์ใส่ตน หรือที่เรียกว่าคอร์รัปชั่นนั่นเอง
พรรคการเมืองใดๆ ก็ตาม ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ก็จะมีการประกาศนโยบายตั้งแต่การหาเสียงก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งเกือบจะทุกพรรคก็มักจะแถลงว่า จะทำเรื่องโน้นทำเรื่องนี้ให้กับประเทศ ให้กับประชาชน โดยในส่วนของการเสนอให้แก่ประชาชนนั้น ก็มักจะเป็นเรื่องของการจะทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของประชาชนดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งก็คือนโยบายประชานิยมนั่นเอง โดยมีความเชื่อว่าการเสนอนโยบายประชานิยม จะทำให้ได้รับคะแนนเสียงข้างมาก อันจะนำไปสู่ การมีโอกาสในการเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งก็สามารถจะทำให้ดำเนินการต่างๆ ได้อย่างมากมาย รวมทั้งที่ได้สัญญากับประชาชนว่าจะให้อะไรไว้แล้วด้วย
การให้สัญญาว่าจะให้ เป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งยอมรับได้ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องนั่นก็คือหากรัฐบาลหรือคนบางคนในคณะรัฐบาล ได้กระทำการที่แม้จะเป็นการคอร์รัปช่ัน ประชาชนเหล่านั้นก็ยังมีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เพราะคิดว่าการคอร์รัปชั่นนั้น มีส่วนทำให้ประเทศชาติ มีความเจริญ และประชาชนบางส่วนก็อยู่ดีกินดีขึ้นด้วย
ในอดีตที่ผ่านมาของประเทศไทย มีนักการเมืองจำนวนไม่น้อย เมื่อเข้ามาบริหารประเทศแล้ว ก็ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่ในการสร้างอิทธิพลหรือสร้างบารมีเพื่อหวังผลในระยะยาว โดยมีเรื่องของการคอร์รัปชั่นแอบแฝงอยู่ด้วย และไม่ใช่เป็นเพียง นักการเมืองระดับท้องถิ่นเท่านั้น แต่รวมไปถึงนักการเมืองระดับชาติด้วย และหลายรายเป็นผู้ที่ตำแหน่งหน้าที่ในระดับสูง ไม่ใช่เพียงแค่เป็นรัฐมนตรีแม้แต่คนที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้เคยกระทำการทุจริตคอร์รัปชัน โดยถูกศาลตัดสินให้ลงโทษจำคุกมาแล้วด้วย
อดีตนายกรัฐมนตรีที่เคยถูกศาลตัดสินลงโทษในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชั่นก็มีแล้วอย่างน้อย ๒ ราย และเป็นผู้ที่มาจากตระกูลเดียวกันด้วย ซึ่งหากใช้คำเรียกที่สื่อมวลชนทั้งหลายนำมาใช้เรียกกันมากขึ้นก็คือ เป็นพวกที่มี DNA เดียวกัน ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าหากมีคนอื่นในตระกูลนี้ มีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศอื่น ก็ย่อมจะมีโอกาสกระทำการคอร์รัปชั่นเช่นเดียวกัน
แต่สิ่งที่ไม่ดีและไม่อาจเป็นตัวอย่างที่ดีทางสังคมได้ ก็คือ นักโทษที่เป็นนักการเมืองเหล่านั้น เมื่อได้รับการตัดสินจากศาลลงโทษจำคุกแล้ว ก็หลบหนีการลงโทษ โดยหากหลบหนีอยู่ในเมืองไทย ก็คงไม่ยากที่จะถูกทางการจับตัวมาดำเนินคดีลงโทษ จึงใช้กลอุบายต่างๆ และอิทธิพลที่ยังพอมีอยู่หลบหนีออกไปอยู่ต่างประเทศซึ่งมักจะเป็นประเทศที่ไม่มีข้อตกลงทางกฎหมายกับประเทศไทยในการส่งตัวกลับเพื่อมารับโทษ โดยมักจะอ้างกันว่าเป็นนักโทษทางการเมือง จึงไม่มีกฎหมายที่จะบังคับใช้
แน่นอนว่า การไปอยู่ต่างประเทศนั้นถึงแม้จะมีเงินทองมหาศาล ก็อยู่อย่างไม่มีความสุข และยังต้องห่างไกลจากลูกหลานญาติพี่น้อง จึงต้องพยายามหาช่องทาง ในการที่จะกลับเข้ามาโดยไม่ต้องถูกลงโทษหรือถูกลงโทษน้อยที่สุด ซึ่งหากยังมีอิทธิพลและบารมีอยู่พอควรรวมทั้งทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาล ก็อาจจะนำไปสู่การที่จะทำให้บุคคลหรือเครือข่ายที่ยังอยู่ในเมืองไทย จัดสร้างกติกาหรือออกระเบียบ ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลายาวนาน ๔-๕ ปีก็ยอมได้
การออกระเบียบของกรมราชทัณฑ์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในการลดโทษให้กับนักโทษ โดยอ้างเหตุผลต่างๆ นั้น ทำให้คำตัดสินของศาล ที่กำหนดระยะเวลาลงโทษไว้ชัดเจนต้องถูกบิดเบือน จนดูเสมือนว่า กรมราชทัณฑ์คือผู้ที่กำหนดชะตากรรมเรื่องระยะเวลาของนักโทษได้เอง และนอกจากนี้ยังมีการขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งเป็นสิ่งที่มิบังควรอย่างยิ่ง เพราะเป็นนักโทษที่ต้องคดีทุจริต โกงกินเงินของประเทศชาติ ถึงแม้ว่าจะมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยลดโทษก็ตาม ระเบียบดังกล่าวทำให้กระบวนการยุติธรรมผิดเพี้ยนไปจนหมด จนเกิดความไม่แน่ใจว่ากระบวนการยุติธรรม จะยังใช้บังคับกับผู้มี เงินทอง อำนาจและอิทธิพลเก่าอยู่ได้หรือไม่
รัฐบาลที่บริหารประเทศ จะต้องทำสังคมของชาติ ให้เป็นสังคมที่มีความเป็นธรรม ตามที่กล่าวกันว่าประเทศไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขนั้น หากประชาชนซึ่งมีสถานะที่แตกต่างกัน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและอื่นๆ ถึงแม้จะมีสิทธิและเสรีภาพ ก็จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย การที่ผู้ใดได้รับการตัดสินจากศาลว่ากระทำความผิดและถูกลงโทษแล้วนั้น ไม่ว่าจะในเรื่องใดๆ ก็จะต้องยินยอมรับโทษนั้นในลักษณะเดียวกัน สังคมนี้จึงจะเป็นสังคมที่เป็นธรรม และทุกคนอยู่อย่างมีความสุขได้
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี