เดือนพฤษภาคมของทุกปีจัดได้ว่าเป็นเดือนที่สำคัญของชาวพุทธทั่วโลก เพราะเป็นเดือนแห่งวันวิสาขบูชา ที่คล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมศาสดาของมวลมนุษยชาติ ซึ่งเราชาวพุทธก็จะมีการทำบุญตักบาตร เวียนเทียน และระลึกถึงพระองค์ท่าน และทบทวนการปฏิบัติตน เพื่อจักได้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้หลุดพ้นจากวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิด
ก่อนบรรลุซึ่งการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า (The Buddha) เจ้าชายสิทธัตถะก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนมนุษย์คนอื่นๆ ทั่วไป ไม่มีความผิดแปลก หรือวิเศษวิโสแต่อย่างใดทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า พระองค์ท่านได้ประสูติขึ้นมาเป็นเจ้าชายจากแคว้นเล็กๆ ไปทางตอนเหนือของชมพูทวีปนามว่า สิทธัตถะ
ชีวิตเริ่มต้นของเจ้าชายสิทธัตถะก็อยู่ในสภาพแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เช่นเดียวกันกับเจ้าชายต่างๆ ทั่วไป และแน่นอนว่าคงจะมีความสุขสบายดีกว่าชาวบ้านทั่วไปในระดับหนึ่ง แต่พระองค์ท่านได้สังเกตและตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของความเป็นมนุษย์ที่มีการเกิด แก่ เจ็บ และตาย สะท้อนความไม่จีรังยั่งยืน ระคนกับความโศกเศร้าไม่สบอารมณ์ไม่สมความปรารถนา แต่ในการตระหนักนั้นก็ใฝ่ถามตนเองว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? และจะหาทางออกหรือทางหลุดพ้นได้หรือไม่ อย่างไร?
จนกระทั่งพระชนมายุ 29 พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะก็ได้ตัดสินใจออกผนวช ซึ่งเป็นการออกไปค้นหาความจริงหรือค้นหาคำตอบต่อความไม่แน่นอนของชีวิต เป็นการเสียสละอย่างใหญ่หลวง ต้องละทิ้งซึ่งความสุขสบาย ต้องลาจากพระมเหสีและบุตรชายที่ยังเป็นทารกอยู่ ซึ่งเป็นการตัดสินใจ ตัดใจ จากสิ่งที่คุ้นเคยไปสู่อนาคตที่ไม่แน่นอน ที่จะได้รับคำตอบหรือไม่ แต่ก็เป็นการตัดสินใจที่เป็นประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ ซึ่งแลกกับการต้องจากชีวิตครอบครัวอันอบอุ่น
ในยุคสมัยพุทธกาล สังคมอินเดียโบราณมีประเพณีเชื่อถือในเรื่องพระเจ้า พระผู้สร้างโลก (The Creator God) และพระเจ้าอื่นๆ อีกทั้งมีพิธีกรรมต่างๆที่เน้นเรื่องการวิงวอนขอพร ขอการปกป้องจากเทพเจ้าทั้งหลาย แล้วก็มีการพยากรณ์ทายทัก และการเคารพบูชาด้วยเครื่องรางของขลังและวัตถุต่างๆ นอกจากนี้ก็มีความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณถาวร (The Soul) รวมถึงการตายแล้วเกิดใหม่ คือ มีจิตวิญญาณเคลื่อนไหวและคงอยู่เป็นการถาวร จากร่างกายหนึ่งไปยังอีกร่างกายหนึ่ง รวมทั้งความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม ว่า ทุกคนต้องรับผลของการกระทำ แต่ก็อาจจะสามารถวิงวอนขอความช่วยเหลือปกป้องคุ้มครองจากบรรดาภูตผีปีศาจและเทพเจ้าต่างๆ ได้ เพื่อบรรเทาผลเคราะห์กรรมที่ไม่ดีงาม
เจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงผนวชใฝ่หาความรู้ความเข้าใจ และการหลุดพ้นจากความทุกข์ยากเป็นเวลาถึง 6 ปี ทั้งโดยการเรียนรู้จากบรรดาเกจิอาจารย์ มิตรสหายร่วมการค้นหาความจริง ไปจนถึงการทรมานร่างกายเพื่อให้ได้รับซึ่งความเป็นจริงและการหลุดพ้น กล่าวได้ว่าพระองค์ท่านได้เรียนจบครบทุกกระบวนยุทธ์ แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้จนเลือกที่จะละทิ้ง สละทิ้ง ซึ่งวิธีการต่างๆ แล้วกลับมาเริ่มต้นใหม่ด้วยการทบทวนตนเอง และมองเข้ามาข้างในของตนเองด้วยจิต และในที่สุดพระองค์ท่านก็ได้ทรงตรัสรู้ด้วยตนเอง คือการได้ค้นพบ (Discover) ปรากฏการณ์ของโลกจักรวาลที่มีและเป็นอยู่ อยู่แล้ว ว่า มีการเปลี่ยนแปลงทุกชั่วขณะ ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนแน่นอน เป็นตัวเป็นตนอย่างถาวร และเมื่อการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ความไม่สมหวังก็ตามมา และความทุกข์ยากก็เกิดขึ้น โลกหรือจักรวาลไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ยุบและอุบัติขึ้นใหม่ได้เป็นระยะๆ
ส่วนชีวิตมนุษย์นั้นก็ตายแล้วเกิดใหม่เป็นวัฏจักร และที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความอยาก ความยึดมั่น และความไม่รู้ ว่าไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน และเมื่อรู้ความจริงมนุษย์ก็สามารถหลุดพ้นได้จากความไม่พึงพอใจทั้งหลายในชีวิตนี้และเมื่อชีวิตหมดลงก็จะดับไปอย่างสงบ ไม่วกเวียนมาเกิดแก่เจ็บตายอีก
ทั้งหมดนี้จัดได้ว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นนักปฏิวัติสังคมชั้นยอดของโลก ความคิดอ่านของพระองค์ท่านสวนทางกับความคิดอ่านเชื่อถือที่เป็นอยู่ในขณะนั้น ตามศัพท์แสงสมัยใหม่ก็จัดได้ว่าพระองค์ท่านคิดนอกกรอบ และแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ ที่จะพัฒนาตนเองให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง โดยที่มนุษย์ไม่ต้องพึ่งพาเทพเจ้า ภูตผีปีศาจ หรือของขลังใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งไม่มีการเลือกปฏิบัติ ผู้จะหลุดพ้นจะเป็นกษัตริย์ จะเป็นทหารหาญ จะเป็นพ่อค้าวานิช จะเป็นเกษตรกร หรือจะเป็นจัณฑาล ต่างก็มีความสามารถที่จะบรรลุซึ่งความจริง (Enlightenment) และหลุดพ้นจากความทุกข์ (Liberation) ทุกคนได้เหมือนกัน เป็นการปฏิเสธการแบ่งแยกผู้คนเป็นชนชั้นหรือวรรณะ เป็นการบ่งบอกซึ่งความเสมอภาคและทัดเทียม หรือการมีชีวิตอยู่ในสังคมประชาธิปไตย
จนเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ท่านมิได้เก็บความรู้ไว้กับตัวท่านเอง แต่ได้ตัดสินใจที่จะแบ่งปัน เผยแผ่ สั่งสอน แบบปุจฉา ปราศจากการบังคับข่มขู่ หรือเอาตัวเป็นใหญ่แต่ผู้เดียวใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อให้มวลมนุษยชาติสามารถหลุดพ้นจากชีวิตที่หมกมุ่นอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด พระองค์ท่านได้ออกไปให้ความรู้กับมวลมนุษยชาติเป็นเวลาถึง 45 ปี เป็นการอุทิศตนเองอย่างหาที่สุดมิได้ และที่น่าประทับใจก็คือการที่พระองค์ท่านได้มีโอกาสมาแสดงธรรมต่อพระมเหสี และพระโอรส เป็นการสะท้อนว่าการจากกันมิได้เป็นเรื่องที่น่าเศร้าไร้ซึ่งความหวัง
นี่คือความยิ่งใหญ่แห่งเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งกล้าละทิ้งทุกสิ่งที่มี เพื่อการค้นหาสัจธรรม และทำการปฏิวัติทางความคิดทางสังคม จนเป็นประโยชน์สุขแก่ชาวโลกตราบจนถึงปัจจุบันนี้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี