โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง -สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) ลงนามสัญญาโครงการตั้งแต่ปี 2562ผ่านไป 5 ปี ยังไม่เริ่มการก่อสร้างแม้แต่เสาตอม่อต้นเดียว
ล่าสุด มีการเสนอแก้ไขสัญญากันใหม่ ในประเด็นเกี่ยวกับเงื่อนไขผลประโยชน์สาระสำคัญ
1.โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. วงเงินลงทุนโครงการมูลค่ารวม 2 แสนกว่าล้านบาท ระยะเวลาสัมปทาน 50 ปี โดยบจ.เอเชีย เอรา วัน (กลุ่มซีพี) เป็นผู้รับสัมปทาน ในฐานะที่เสนอราคาขอให้รัฐอุดหนุนต่ำที่สุด
รายงานข่าวระบุว่า เมื่อวันที่ 23 พ.ค.2567นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ร.ฟ.ท.พิจารณาโดยสรุปแนวทางและหลักการที่ได้เจรจากับเอกชนคู่สัญญา
ในการแก้ไขสัญญา ประเด็นสำคัญที่จะต้องยึดถือ คือ ภาครัฐจะต้องไม่เสียผลประโยชน์มากเกินควรจากสัญญา เอกชนก็ต้องไม่ได้รับประโยชน์เกินควร มิฉะนั้น การประมูลที่ผ่านมาก็ไร้ความหมาย
แต่ปรากฏว่า มีประเด็นที่น่าสนใจ อันเกี่ยวกับเงื่อนไขผลประโยชน์ที่เป็นสาระสำคัญ ได้แก่
1.1 ให้รัฐจ่ายเงินอุดหนุน 117,727 ล้านบาท เร็วขึ้น“สร้างไป-จ่ายไป” (ไม่ใช่สร้างเสร็จก่อน ค่อยจ่าย)
ประเด็นเงินที่รัฐร่วมลงทุน รัฐจะขยับจ่ายเงินร่วมทุน 117,727 ล้านบาท ให้เร็วขึ้น และจะยอมรับหลักการ “สร้างไป-จ่ายไป” โดยคาดว่าจะเริ่มจ่ายในเดือนที่ 18 นับจากวันที่ออก NTP (หนังสือให้เริ่มงาน)
จากสัญญาปัจจุบัน เอกชนจะต้องก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จในระยะเวลา 5 ปีนับจากวันส่งมอบ NTP และรัฐจะเริ่มจ่ายหลังจากนั้นในปีที่ 6 ของโครงการโดยแบ่งจ่ายเป็น 10 งวด งวดละ 1 ปี
เหตุผลตามรายงานข่าว คือ มีการกล่าวถึงกรณีเอกชนยังกู้เงินไม่ได้ จากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และสถานการณ์สงครามยูเครน-รัสเซีย
พูดง่ายๆ ว่า จะรื้อเงื่อนไขเดิม แก้ใหม่เป็นประโยชน์แก่เอกชนคู่สัญญา
เพราะเอกชนคู่สัญญาไม่ต้องรอถึง 6 ปี ตามข้อเสนอที่เคยชนะประมูล เปลี่ยนใหม่เป็นภาครัฐจะช่วยจ่ายให้เร็วขึ้น คือ หลังจาก ร.ฟ.ท.ส่ง “หนังสือให้เริ่มงาน” หรือ NTP (Notice To Proceed) ให้ไปแล้ว 18 เดือน หรือ 1 ปีครึ่ง
นั่นย่อมช่วยให้เอกชนคู่สัญญาลดภาระค่าใช้จ่ายในการกู้เงินจำนวนมาก และได้ “ประหยัดค่าดอกเบี้ย”มหาศาล เนื่องจากสามารถใช้เงินอุดหนุนจากรัฐมาดำเนินการก่อสร้างได้
นับเป็นการเปลี่ยนเงื่อนไขสำคัญ เพราะเดิมรัฐจะเงินอุดหนุน 117,727 ล้านบาท ให้เอกชนก็เมื่อเอกชนดำเนินการก่อสร้างเสร็จแล้ว โครงการเปิดให้บริการแล้ว เพื่อเป็นหลักประกันว่า เอกชนคู่สัญญาจะเร่งก่อสร้างให้เสร็จตามกำหนดเวลาในสัญญา นั่นเท่ากับว่าเปลี่ยนเงื่อนไขมาเป็น “สร้างไป-เบิกไป”
1.2 ผ่อนผันค่าใช้สิทธิบริหารแอร์พอร์ตลิงค์
ตามสัญญาปัจจุบัน เอกชนคู่สัญญาจะต้องจ่ายให้ ร.ฟ.ท.ทันทีที่รับโอนสิทธิ จำนวน 10,671 ล้านบาท แก้เป็นให้เอกชนแบ่งจ่ายเป็น 7 งวด 7 ปี โดยอ้างปัญหาโควิด-19 ทำให้ผู้โดยสารแอร์พอร์ตลิงค์น้อยลงไปมาก
ในทางปฏิบัติจริง เอกชนคู่สัญญารับโอนแอร์พอร์ตลิงค์ไปบริหารแล้ว ตั้งแต่ตุลาคม 2564 โดยวางเงินมัดจำ 1,067 ล้านบาท ส่วนที่เหลือราวๆ 9 พันกว่าล้านบาท ยังไม่ได้จ่าย ตามเอ็มโอยู เพราะรอการแก้ไขสัญญานี่เอง
1.3 เอกชนต้องเอา Bank Guarantee มาวาง
ร.ฟ.ท.และสกพอ.ให้เอกชนคู่สัญญาจะต้องวางหนังสือค้ำประกันโดยธนาคาร (Bank Guarantee) เพิ่มเติม ทั้งในส่วนของค่าใช้สิทธิ์แอร์พอร์ต เรล ลิงก์วงเงิน 10,671 ล้านบาท และค่าเงินภาครัฐรวมจ่ายอุดหนุนโครงการไว้ในราคา 117,227 ล้านบาท (ตัวเลข ณ ปี 2561)
โดยในการเจรจา เอกชนยอมรับแล้ว ซึ่งจะต้องนำมาวางเป็นหลักประกันภายใน 270 วัน นับจากวันที่ได้มีการแก้ไขสัญญาและมีการลงนาม
ข้อเสนอแนวทางทั้งหมดนี้ จะเสนอคณะกรรมการกำกับ และคณะกรรมการบริหารสัญญา เพื่อส่งต่อไปยังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.หรือบอร์ดอีอีซี) และคณะรัฐมนตรี เพื่อขออนุมัติในหลักการ เพื่อแก้ไขสัญญาโครงการต่อไป
2. หากแก้เงื่อนไขสาระสำคัญเรื่องผลประโยชน์ในสัญญา การประมูลที่ผ่านมา จะมีความหมายอะไร?
ในการประมูลโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการรัฐPPP Net Cost ระยะเวลาสัมปทาน 50 ปีนั้น
แบ่งเป็นออกแบบและก่อสร้าง 5 ปี และระยะเวลาเปิดให้บริการ 45 ปี แลกกับการให้ผู้ชนะประมูลได้สิทธิบริหารโครงการ รวมการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์สถานีมักกะสัน พื้นที่โดยรอบสถานีศรีราชา
เปิดประมูลในปี 2561 โดยเปิดรับซองข้อเสนอเอกชนเมื่อวันที่ 12 พ.ย.2561 มีเอกชนยื่นซองข้อเสนอ 2 ราย ประกอบด้วย
(1) กิจการร่วมค้า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร (กลุ่มซีพี) ประกอบด้วย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง จำกัด, บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์จำกัด (มหาชน), China Railway Construction Corporation Limited (สาธารณรัฐประชาชนจีน),บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน), บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) คือผู้ชนะประมูล
(2) กิจการร่วมค้า บีเอสอาร์ (BSR Joint Venture)ประกอบด้วย บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ต่อมาก็คือ บจ.เอเชีย เอรา วัน (กลุ่มซีพี)
วันที่ 11 ธ.ค.2561 มีการเปิดซอง 3 (ข้อเสนอด้านการเงิน)ผลปรากฏว่า ข้อเสนอของกลุ่มกิจการร่วมค้า บริษัทเจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้งฯ เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด (ขอรับเงินอุดหนุนจากภาครัฐน้อยสุด)
ชนะคู่แข่ง เพราะขอเงินอุดหนุนน้อยกว่า เป็นสาระสำคัญ
แต่เมื่อชนะแล้ว ผ่านไป 5 ปียังไม่ได้เริ่มการก่อสร้าง หากรัฐยอมให้มีการแก้สัญญาเงื่อนไขการได้รับเงินอุดหนุน ช่วยให้ได้รับเร็วกว่าเงื่อนไขเดิมเช่นนี้ ย่อมถูกตั้งคำถามว่า การชนะประมูลเพราะขอเงินอุดหนุนน้อยกว่าในตอนนั้น แต่เมื่อได้สัญญาสัมปทานไปแล้ว กลับแก้ไขสัญญาเพื่อลดต้นทุนการเงินภายหลัง จะเป็นธรรมหรือไม่
3. โครงการจะแล่นฉิว หรือใครจะแล่นเฉียดสถานีคุก หรือไม่?
การแก้เงื่อนไขสาระสำคัญเกี่ยวกับผลประโยชน์ในสัญญา เอื้อประโยชน์แก่เอกชน จะทำให้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินแล่นฉิว หรือจะทำให้ผู้เกี่ยวข้องแล่นไปเฉียดสถานีคุก หรือไม่?
เท่าที่ติดตามข่าว พบว่า เคยมีกรณีคดีทุจริตประพฤติมิชอบหลายคดี เจ้าหน้าที่รัฐต้องติดโทษจำคุก เพราะพฤติกรรมเอื้อประโยชน์แก่เอกชนคู่สัญญาโดยมิชอบ ยกตัวอย่าง
กรณีอดีตผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. นายจิตต์สันติ ศาลปราบโกงพิพากษาจำคุก 6 ปี คดีโครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงก์มูลค่า 25,000 ล้านบาท สืบเนื่องจากการแก้ไขสัญญาในเอกสารประกวดราคาระหว่าง ร.ฟ.ท. กับบริษัทเอกชนเอื้อประโยชน์แก่เอกชน เป็นเหตุให้ ร.ฟ.ท.ได้รับความเสียหาย 1.2 พันล้านบาท
กรณีอดีตผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย(ท.ศ.ท.) นายสุธรรม ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 6 ปี และให้ชดใช้เงินจำนวน 46,855 ล้านบาท สืบเนื่องจากการแก้ไขสัมปทาน (ครั้งที่ 6) เพื่อลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (Prepaid Card) ให้บริษัทเอไอเอส โดยมิชอบ
กรณีอดีต รมว.ไอซีที หมอเลี้ยบ ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา สืบเนื่องจากการแก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมเอื้อชินคอร์ป
กรณีอดีตนายกฯ ทักษิณ ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก 5 ปี คดีแปลงค่าสัมปทานโทรคมนาคม ให้คู่สัญญาเอกชนนำภาษีสรรพสามิตมาหักออกจากส่วนแบ่งรายได้เอื้อประโยชน์เอไอเอส
กรณีอดีตนายกเทศมนตรีตำบลน้ำสวย จังหวัดเลย ศาลปราบโกงพิพากษาจำคุก 4 ปี สืบเนื่องจากละเว้นไม่ดำเนินการกับเอกชนผู้รับจ้างที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญาจ้าง และแก้ไขสัญญาจ้างให้เป็นไปตามแบบแปลนที่ผู้รับจ้างก่อสร้างในโครงการก่อสร้างโรงเก็บพัสดุและโครงการก่อสร้างอาคารโรงอัดปุ๋ยเม็ด
ฯลฯ
ติดตามต่อไปว่า ผู้มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ จะพิจารณาอย่างไร? จะอนุมัติ หรือเพิ่มเติมเงื่อนไขรายละเอียดอย่างไร? หรือจะมีคำอธิบายชี้แจงอย่างไรให้สมเหตุสมผล ว่าไม่ใช่การแก้ไขสัญญาเอื้อประโยชน์แก่เอกชนโดยมิชอบ อย่างไร?
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี