สถาบันพระปกเกล้า โดย สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย ร่วมกับ สำนักส่งเสริมการเมืองภาคพลเมือง และศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง 76 จังหวัด ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ความนิยมในพรรคการเมืองและนายกรัฐมนตรี : 1 ปีหลังการเลือกตั้ง 14 พฤษภาฯ 2566” จำนวน 1,620 ตัวอย่างทั่วประเทศ
พบว่า ถ้ามีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในช่วงนี้ คนส่วนใหญ่ยังคงจะเลือกพรรคก้าวไกลมากเป็นอันดับ 1 ทั้งสองบัตร
สส. แบบแบ่งเขต
35.7% จะลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรคก้าวไกล
18.1% จะลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย
พรรคภูมิใจไทย 11.2% พรรครวมไทยสร้างชาติ 9.2% พรรคพลังประชารัฐ 7.8% พรรคประชาธิปัตย์ 5% พรรคชาติไทยพัฒนา 1.6% พรรคประชาชาติ 1.2%
ตามลำดับ
สส. แบบบัญชีรายชื่อ
44.9% ระบุว่า จะลงคะแนนให้พรรคก้าวไกล
20.2% จะลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทย
พรรครวมไทยสร้างชาติ 10.9% พรรคภูมิใจไทย 3.5% พรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์ 3% พรรคประชาชาติ 1.3% และพรรคชาติไทยพัฒนา 0.7% ตามลำดับ
คำถามที่ว่า ทำไมพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคใหญ่กว่า เก่าแก่กว่า จึงมีคะแนนนิยมน้อยกว่า “พรรคก้าวไกล”ซึ่งเป็นพรรคเกิดใหม่ไม่นานมานี้ และในการเลือกตั้งรอบที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยก็แพ้ให้แก่พรรคนี้
คำตอบง่ายมากครับ เพราะประชาชนทั่วไป รู้สึกและตกผลึกทางความคิดกันแล้วว่า พรรคเพื่อไทย ไม่ได้มุ่งทำการเมืองเพื่อประเทศไทย แต่ทำงานการเมืองเพื่อ “ตระกูลชินวัตร” เป็นสำคัญ
ยิ่งพรรคเพื่อไทย ข้ามขั้วไปตั้งรัฐบาลกับอีกฝั่งที่ตั้งตนอยู่คนละขั้วกันมาโดยตลอด มีภาวะ “ตระบัดสัตย์”กลืนน้ำลายตัวเอง ลืมคำพูดตัวเองที่เคยพูดไว้ในหลายๆ เรื่อง ทำให้คะแนนส่วนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย ย้ายมาอยู่กับพรรคก้าวไกล
ยิ่งเมื่อ “นายทักษิณ ชินวัตร” กลับมา แล้วได้รับ “สิทธิพิเศษ” ต่างๆ มากมาย ย่ามใจ คะนองอำนาจ แสดงตนอยู่เหนือพรรคเพื่อไทย อยู่เหนือกฎหมาย ฯลฯ ยิ่งนำความเสื่อมมาสู่พรรคเพื่อไทย
เศรษฐา ทวีสิน กลายเป็น “หุ่นเชิดกระจอกๆ”
แพทองธาร ชินวัตร ที่ขาดทั้งประสบการณ์และสติปัญญา ชูคอเหนือขี้ข้าบริวารของพ่อ
ปานปรีย์ พหิทธานุกร ลาออกจาก รมต.ต่างประเทศ
ตั้งคนใกล้ชิดทักษิณขึ้นเป็นเสนาบดี โดยเฉพาะ “พิชิต ชื่นบาน” ที่ประชาชนให้ฉายา “ทนายถุงขนม”
ล้วนเป็นองค์ประกอบของ “ความเสื่อม” ของพรรคเพื่อชิน”
ความคะนองในอำนาจ หลงตัวเอง ออกอาการว่า “กูถือไพ่เหนือกว่า” แล้วย่ามใจ ส่งผลให้นายเทพไทเสนพงศ์ ออกปากเตือนว่า...
“ทักษิณ วันนี้คือ คนมีเส้น
...ผมเห็นความเคลื่อนไหวของคุณทักษิณในช่วงนี้แล้ว ทำให้เห็นภาพการเป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง ถ้าพรรคเพื่อไทยคือบริษัททางธุรกิจครอบครัวชินวัตร คุณทักษิณก็คือบอสใหญ่ หรือประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เป็นซีอีโอมีอำนาจสูงสุด สั่งให้พนักงานทุกคนทำตามที่ตัวเองต้องการได้ และสามารถทำอะไรตามใจได้ทุกอย่าง ไม่ต้องสนใจใคร เช่นการยอมรับเรื่องการพูดคุยกับชนกลุ่มน้อยชาติพันธ์ุในพม่า และคุยกับผู้นำประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นการทำงานทางการเมืองที่ข้ามหัวกระทรวงต่างประเทศของรัฐบาล รวมถึงการสั่งให้คุณเศรษฐาเรียกประชุมครม.เศรษฐกิจ ซึ่งคุณเศรษฐาก็ปฏิบัติตามทันที
...ในวันที่เดินทางไปจังหวัดนครราชสีมา ขอขึ้นเวทีประกาศชักชวนให้คุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา มาร่วมกับพรรคเพื่อไทย โดยออกตัวว่าทำแทนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ลูกสาว ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคุณทักษิณต้องการโชว์เพาเวอร์ว่า ตนเองคือผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในพรรคเพื่อไทย จะให้คนอื่นไปทาบทามพูดคุยไม่สำเร็จ แต่เมื่อคุณทักษิณออกโรงเองทุกอย่างก็เรียบร้อย
...ทำให้นึกถึงบรรยากาศการเมืองหลังเลือกตั้งเมื่อปี 2548 ที่คุณทักษิณใช้วิธีการควบรวมพรรคการเมืองเหมือนกับการควบรวมบริษัทในทางธุรกิจ ซึ่งในตอนนั้นได้ดึงเอาพรรคความหวังใหม่และพรรคเสรีธรรม มารวมกับพรรคไทยรักไทย จนได้เสียงเกินครึ่งของสภา จัดรัฐบาลจนพรรคฝ่ายค้านไม่สามารถยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจได้
...ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน คุณทักษิณย่อมรู้ดีว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า ลำพังพรรคเพื่อไทยก็ไม่สามารถเอาชนะพรรคก้าวไกลได้ จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการควบรวมพรรคการเมืองต่างๆ ให้มาอยู่ในพรรคเดียวกัน เพื่อต้องการให้ชนะเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 สร้างความชอบธรรมเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่ต้องถูกกระแหนะกระแหนว่าปล้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา โดยมีพรรคของฝ่ายอนุรักษ์นิยมเป็นพันธมิตรหรือเป็นพรรคอัมโนแบบการเมืองมาเลเซีย
...เพราะฉะนั้นการที่คุณทักษิณออกตัวว่า เป็นคนแก่คนหนึ่งไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ในความเป็นจริงคุณทักษิณ คือผู้บงการทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยทั้งหมด และเป็นศูนย์กลางอำนาจตัวจริงของพรรคเพื่อไทยส่วนคนอื่นๆ นั้นเป็นเหมือนพนักงานบริษัทของครอบครัวชินวัตรเท่านั้น
...ต่อจากนี้เราจะเห็นบทบาทของคุณทักษิณเคลื่อนไหวทางการเมืองมากขึ้น โดยไม่แคร์กระแสสังคม และไม่สนใจกลุ่มต่อต้านแต่อย่างใด เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นคนมีเส้น มีแบ๊กดี มีมือที่มองไม่เห็นอุ้มอยู่ แต่อยากจะขอเตือนไว้ว่า ระวังให้ดี พลาดท่าขึ้นมา อาจจะไม่มีแผ่นดินอยู่อีกก็ได้”
และออกปากเตือน “ลูกสาวทักษิณ” ด้วยว่า...
“อย่าอุ๊งอิ๊ง!!!
...ผมเห็นข่าวพาดหัวว่า คุณอุ๊งอิ๊งยังไม่พร้อมเป็นนายกฯ หลังจากที่นักข่าวได้ถามเรื่องศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ 40 สว. เพื่อพิจารณาการพ้นตำแหน่งรัฐมนตรี ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่าหากผลของคำวินิจฉัยของศาลให้คุณเศรษฐา พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไป
...ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่คุณอุ๊งอิ๊งพูดกับนักข่าวเป็นความจริงหรือไม่ หรือต้องการจะเอาใจคุณเศรษฐา เพื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่ในความรู้สึกของประชาชนนั้น คุณอุ๊งอิ๊งเป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย แสดงว่ามีความพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี 100% แต่ทำไมเมื่อนักข่าวถามในตอนนี้ กลับบอกว่า ไม่พร้อมที่จะรับตำแหน่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะทางการเมืองของคุณอุ๊งอิ๊ง ที่มักจะมีปัญหาและสร้างประเด็นให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์ มาโดยตลอด
...ผมอยากจะยกคำพูดของคุณอุ๊งอิ๊ง บนเวทีปราศรัยหาเสียง เช่น
1.การบอกว่าให้ดูหน้าดิฉันไว้ จะไม่จับมือกับคนทำรัฐประหารจัดตั้งรัฐบาลแน่นอน แต่ในวันนี้ก็ได้กระโดดข้ามขั้วจัดตั้งรัฐบาลกับกลุ่มคนที่ทำรัฐประหารเรียบร้อยแล้ว
2.การปราศรัยบนเวทีว่า จะปิดสวิตช์ สว.ปิดสวิตช์ 3 ป. คนไทยมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีกินมีใช้ไปพร้อมๆ กัน แล้วตอนนี้ผลก็คือ นายกฯเศรษฐากำลังจะถูก 40 สว.ปิดสวิตช์ การประกาศจะปิดสวิตช์ 3 ป.ก็ไม่สามารถทำได้จริง ต้องจับมือกับ 3 ป. ตั้งรัฐบาลด้วยกัน
3.การที่ประชาชนมีกินมีใช้ วันนี้ก็พบความจริงว่าประชาชนลำบากเหมือนเดิม เงินดิจิทัล วอลเล็ต คนละ 10,000 บาท ก็ไม่สามารถแจกให้กับประชาชนได้
4.การประกาศเติมเงินให้กับครอบครัวที่มีรายได้ไม่ถึง 20,000 บาท ก็ยังไม่มีการเติมให้เลยแม้แต่ครอบครัวเดียว
5.การประกาศว่า เมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ราคาไฟฟ้า ราคาน้ำมันจะลดลง จะไม่แพงอีกต่อไปแต่วันนี้กลับเพิ่มราคาขึ้นเรื่อยๆ
...ผมไม่อยากให้สังคมมองคุณอุ๊งอิ๊งขาดความน่าเชื่อถือในคำพูด เป็นตัวตลก ให้โลกโซเชียลนำคลิปการพูดหาเสียงของคุณอุ๊งอิ๊งมาล้อเล่น แชร์กันเป็นไวรัล จนถึงการนำชื่อคุณอุ๊งอิ๊งมาเป็นคำล้อเลียน คำสบถ เช่น อย่าอุ๊งอิ๊งอีกเลย อย่าทำตัวอุ๊งอิ๊ง หรืออุ๊งอิ๊งอีกแล้วนะฯลฯ ซึ่งสร้างความเสียหาย ทำลายภาพลักษณ์นักการเมืองรุ่นใหม่
...จึงอยากแนะนำให้คุณอุ๊งอิ๊งปรับปรุงตัว และมีวุฒิภาวะทางการเมืองมากกว่านี้ ขอเตือนไว้ด้วยความหวังดี”
29 พ.ค.นี้ สังคมไทยจะมีคำตอบ ว่า อัยการจะมีความเห็นสั่งฟ้องคดี ม.112 ของนายทักษิณหรือไม่
อีกไม่เกินสองสัปดาห์ เศรษฐาต้องทำคำชี้แจงเรื่องตั้ง“พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรี ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ
แม้จะแก้เกมด้วยการเชิญ “นายวิษณุ เครืองาม” เนติบริกรตลอดกาลมาร่วมงานด้วย
การส่งสัญญาณ “เชิงสัญลักษณ์” ว่า ฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังไม่ตัดหางปล่อยวัด จะช่วยทักษิณได้หรือเปล่า จะเปลี่ยนสันดานทักษิณได้หรือเปล่าจะทำให้ในอนาคต พรรคเพื่อไทยชนะพรรคก้าวไกลได้หรือเปล่า
โปรดติดตามแบบ “อย่ากะพริบตา” !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี