ทุกชาติบ้านเมืองจะต้องมีกฎหมาย เพื่อทำให้ประชาชนทุกคนที่อยู่ในชาตินั้น มีชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ถึงแม้ว่าสถานะทางสังคม ความยากดีมีจน อาจจะแตกต่างกันบ้างก็ตาม โดยมีกระบวนการยุติธรรมรองรับการบังคับใช้กฎหมายนั้นอย่างเท่าเทียมกัน โดยกฎหมายสูงสุดคือรัฐธรรมนูญ
ประวัติศาสตร์ของชาติไทยยังได้การยอมรับอยู่เสมอว่านับเริ่มต้นจาก อาณาจักรสุโขทัย ถึงแม้ว่าจะมีนักประวัติศาสตร์และโบราณคดีจำนวนหนึ่งมีความเห็นแย้งอยู่ก็ตาม โดยอาณาจักรสุโขทัยนั้นเริ่มขึ้นในปีพุทธศักราช ๑๗๘๐ มีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นกษัตริย์พระองค์แรก พระองค์มีพระราชโอรส ที่มีพระปรีชาสามารถทั้งในการรบและการบริหารบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่งคือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระมหากษัตริย์ผู้เป็นมหาราชพระองค์แรกของชาติไทย
ในยุคสมัยของพระองค์นั้น ได้มีบันทึกปรากฏในหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งเป็นศิลาจารึกหลักที่ ๑ ที่ค้นพบโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จประพาสเมืองเหนือเมื่อครั้งยังทรงผนวชเป็นพระภิกษุ โดยได้พบหลักศิลาดังกล่าวใกล้กับพระแท่นมนังคศิลา บนเนินประสาทเก่าในเมืองเก่าสุโขทัย ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้มีการกล่าวถึงสิ่งที่ น่าจะเรียกได้ว่าเป็นกฎกติกาของบ้านเมือง โดยมีข้อความบันทึกไว้ในด้านที่ ๑ บรรทัด ๑๙ไปจนถึงบรรทัดสุดท้าย และด้านที่ ๒ บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดที่ ๕ รวมทั้งด้านที่ ๓ บรรทัดที่ ๑๖ ถึง ๑๙ ด้วย ซึ่งในยุคต่อมาก็มีวิวัฒนาการจนกลายมาเป็นกฎหมาย
ตัวอย่างข้อความในหน้าที่ ๑ ได้แก่ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ ลู่ทางเพื่อนจูงวัวไปค้าขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าทองค้า ไพร่ฟ้าหน้าใส ลูกเจ้าลูกขุนผู้ใดแล้ ล้มตายหายกว่า เหย้าเรือนพ่อเชื้อเสื้อคำ มันช้างขอลูกเมียเยียข้าวไพร่ฟ้าข้าไทย ป่าหมากปลาพลูพ่อเชื้อมัน ไว้แก่ลูกมันสิ้น ไพร่ฟ้าลูกเจ้าขุน ผิแลผิดแผกแสกว้างกัน สวนดูแท้แล จึ่งเล่งความแก่ข้าด้วยซื่อ บ่เข้าผู้ลักมักผู้ซ่อน เห็นข้าวท่านบ่ไคร่พิน เห็นสินท่านบ่ไข้เดือ- ซึ่งสามารถจะแปลความหมายได้ว่า ราษฎรมีที่ดินทำกินได้ สามารถจะค้าอะไรก็ได้ ไม่มีการเก็บภาษี สมบัติจากพ่อให้ไปสู่ลูก ใครทำผิดก็แจ้งให้พระองค์ทราบ ไม่ให้ลักขโมยกัน ต่อมาก็ได้มีนักกฎหมายได้พยายามเรียบเรียงสรุปเป็น ๔ บท คือบทเรื่องมรดก บทเรื่องที่ดิน บทวิธีพิจารณาความและบทลักษณะฎีกา
เมื่อมาถึงอาณาจักรอยุธยาตอนต้น ได้มีการตรากฎหมายในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ พระเจ้าอู่ทอง ในช่วงระหว่างปีพ.ศ. ๑๘๙๔-๑๙๑๐ มีกฎหมายเกิดขึ้นทั้งหมด ๑๐ ฉบับ จดหมายฉบับที่สำคัญได้แก่
กฎหมายลักษณะพยาน พ.ศ. ๑๘๙๔
กฎหมายลักษณะอาญาหลวง พ.ศ. ๑๘๙๕
กฎหมายลักษณะอาญาราษฎร์ พ.ศ. ๑๙๐๑
กฎหมายลักษณะโจร พ.ศ. ๑๙๐๓
ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระมหากษัตริย์ผู้มีพระปรีชาสามารถอีกพระองค์หนึ่ง ได้บริหารบ้านเมืองโดยทรงปฏิรูปการปกครอง แบ่งฝ่ายทหารและพลเมืองออกจากกันให้สมุหพระกลาโหมดูแลฝ่ายทหารและสมุหนายกดูแลฝ่ายพลเรือน ในยามสงครามราษฎรชายทุกคนจะต้องเข้ารับราชการทหาร มีการออกกฎหมายเพื่อการบริหารราชการส่วนกลางเรียกว่าจตุสดมภ์ มีกรม ๔ กรม คือ
กรมเวียง ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในเขตเมืองหลวงและใกล้เคียง
กรมวัง ดูแลพระราชสำนักและรับผิดชอบเรื่องความยุติธรรม
กรมคลัง ดูแลรับจ่ายและเก็บรักษาพระราชทรัพย์จากภาษีอากร
กรมนา ตรวจตราการทำไร่นาและจัดเก็บรักษาข้าวจากอากรไว้ในราชการ
ในสมัยของพระองค์นี้ ได้มีการตรากฎมณเฑียรบาลขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๑๙๑๑ เป็นกฎที่ว่าด้วยการดูแลรักษาระเบียบของพระราชวัง พระราชฐาน รองรับและส่งเสริมสถาบันกษัตริย์ เป็นแนวทางให้ราษฎรและขุนนางข้าราชการปฏิบัติต่อพระมหากษัตริย์ได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งกำหนดในเรื่องของการสืบราชสมบัติด้วย
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็น ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็มีการจัดทำรัฐธรรมนูญที่อ้างว่ามาจากประชาชนขึ้นเป็นฉบับแรก มีชื่อว่า “พระราชบัญญัติ ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวพุทธศักราช ๒๔๗๕” และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามพุทธศักราช ๒๔๗๕ เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ ถือเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นเครื่องกำหนดระเบียบแบบแผนของสังคม มีลำดับศักดิ์สูงสุด กฎหมายอื่นใดจะขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้ ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบันนี้คือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๖๐
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ผู้ที่เป็นประธานร่างคือนายมีชัย ฤชุพันธุ์ โดยท่านกล่าวไว้ว่าเป็นการร่างเพื่อใช้กับคนทั่วประเทศ จึงต้องมีกรอบในการร่าง โดยกรอบที่ ๑ เป็นกรอบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๓๕ ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งบังคับว่าคณะร่างต้องร่างให้ครบถ้วนเป็นไปตามนั้น กรอบที่ ๒ คือคสช.ในฐานะที่มีอำนาจรัฐถาธิปัตย์ และภารกิจที่สำคัญจะต้องทำให้เกิดรัฐธรรมนูญเป็นกฎกติกาของบ้านเมือง โดยมีกรอบอยู่ ๕ ประการ คือ
๑. ให้รัฐธรรมนูญเป็นที่ยอมรับนับถือของสากล แต่ต้องสอดคล้องกับสภาพปัญหา ประเพณีวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของประเทศไทยหรือคนไทยที่มีอยู่
๒. ให้มีกลไกที่มีประสิทธิภาพในการปฏิรูป และสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นให้ได้
๓. มีมาตรการป้องกันไม่ให้การเมืองแสวงหาอำนาจหรือผลประโยชน์ เพื่อตนเองหรือพวกพ้อง โดยใช้เงินแผ่นดินไปอ่อยเหยื่อกับประชาชน เพื่อสร้างความชอบธรรมโดยมิได้มุ่งหมายให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขในระยะยาว จนเกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติอย่างร้ายแรง เกิดวิกฤตที่หาทางออกไม่ได้
๔. มีแนวทางขจัดการ ทุจริตประพฤติมิชอบอย่างได้ผล
๕. ให้สร้างกลไกที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชน ในอันที่จะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ และ ร่วมกันรับรู้และรับผิดชอบต่อความเจริญและการพัฒนาของประเทศและสังคมโดยรวม
โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ผ่านการทำประชาพิจารณ์ และได้รับความเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ซึ่งตามระบอบประชาธิปไตยก็ต้องบอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นของประชาชน ไม่ใช่รัฐธรรมนูญฉบับคสช. ตามที่บางพรรคการเมืองกล่าวหาเพราะไม่สมประโยชน์หรืออาจเป็นภัยต่อพรรคหรือพวกของตน
เมื่อรัฐบาลชุดปัจจุบันได้เข้ามาบริหารบ้านเมือง จึงได้มีความพยายามที่จะแก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ที่น่าจะมาจากเหตุดังกล่าว ประจวบกับมีพรรคการเมืองที่มีแนวคิดล้มล้างสถาบันและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ โดยเอาเรื่องของกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ที่บัญญัติไว้เพื่อปกป้องสถาบันมาเป็นตัวจุดฉนวนเรื่องสิทธิ์ที่ไม่เท่าเทียมกัน และขณะนี้ก็มีความพยายามอย่างเต็มที่ ในการจะออกกฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมนักโทษคดี ๑๑๒ ซึ่งส่วนใหญ่นั้นจงใจที่จะทำการ ที่น่าจะรวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรีผู้หนึ่งด้วย โดยไม่เคยคำนึงถึงความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ได้สร้างชาติ และทำให้ชาติอยู่มาได้เป็นระยะเวลาร่วม ๘๐๐ ปี
ความพยายามของทั้งสองพรรคนี้ อาจไม่ใช่อยู่ที่การแก้ไขเท่านั้น แต่อาจจะลามไปถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยคณะกรรมการร่างต้องมาจากประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญนี้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เคยต้องเดือดร้อนหากไม่ได้ทำผิดรัฐธรรมนูญและกฎหมายอี่นๆ จึงไม่เห็นความจำเป็นในการแก้ไขเลย อีกทั้งการแก้ไขจะต้องใช้เงินอีกมหาศาล ในขณะที่รัฐบาลอ้างว่าเศรษฐกิจของประเทศไม่ดีจนอาจจะเกิดภาวะวิกฤต ซึ่งความจริงเรื่องนั้นน่าจะเป็นเพราะฝีมือในการบริหารของรัฐบาลยังไม่ดีพอ ไม่มีการบริหารเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของชาติเพื่อให้ประชาชนมีรายได้มากขึ้น การสร้างงานมากขึ้น ไม่ใช่แบมือรอรับเงินที่รัฐบาลจะต้องกู้มาจ่ายให้ในโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ซึ่งทำให้ประเทศมีหนี้เพิ่มมากขึ้น และหนี้สินสาธารณะต่อ GDP ขึ้นไปใกล้ ๗๐% ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อความน่าเชื่อถือของฐานะเศรษฐกิจของชาติ
การเข้ามาบริหารประเทศนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ใครก็ตามที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมืองมาก่อนเลย อยู่ๆ ก็จะเข้ามาทำและประสบความสำเร็จในการทำให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าได้ โดยเฉพาะหากการเข้ามานั้นมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ที่อาจเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนและอื่นๆ อันเป็นที่ครหาของประชาชน ก็ย่อมจะทำให้เกิดความเสื่อมโดยเร็ว การทบทวนตนเองด้วยจิตสำนึกที่ดีที่อาจจะยังมีเหลืออยู่บ้าง แล้วยอมเสียสละตำแหน่งให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมืองมากกว่าเข้ามาบริหาร จะเป็นเรื่องที่จะได้รับการยกย่อง
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี