ก่อนที่นักการเมืองจำพวกดีแต่ปาก พล่ามและเพ้อฝันไปเรื่อย ได้เข้าไปเป็นรัฐบาล ก็จะให้พล่ามให้สัญญาสารพัดชนิด จะทำโน่นนี่นั่นให้ดีขึ้น จะแก้ปัญหาสารพัดชนิดให้จบสิ้นโดยทันที จะล้างทุจริต จะปราบโกง จะ... จะ.... และจะ...... อีกสารพัดเรื่อง ตามแต่จะคิดเรื่องโกหกได้ในขณะหาเสียง แต่สุดท้ายเมื่อได้เข้าไปมีอำนาจรัฐแล้ว ก็ปรากฏว่าไม่มีปัญญาแก้ปัญหาใดๆ นอกจากแก้ปัญหาเดิมไม่ได้ แต่ก็ยังสร้างปัญหาเพิ่มแบบทบเท่าทวีคูณอีกด้วย
เราได้เห็นมาแล้วว่านักการเมืองจำพวกพล่ามเพ้อบอกว่าจะแจกเงินให้คนไทยทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป คนละหนึ่งหมื่นบาท แรกๆ ก็โกหกว่าจะแจกโดยไม่มีเงื่อนไข แจกเงินได้ทันที ไม่จำเป็นต้องกู้หนี้ให้กับประเทศ แต่เมื่อเข้าไปเป็นรัฐบาลได้ ก็ไม่มีปัญญาทำตามที่สัญญา (อันที่จริงต้องเรียกว่าโกหก)
น่าประหลาดที่คนไทยจำนวนไม่น้อยหลงเชื่อคำโกหกของนักการเมืองจอมมดเท็จ ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ในเบื้องต้นว่า มูลเหตุที่ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยหลงเชื่อคำโกหกก็เพราะต้องการได้เงินแบบลาภลอย คนไทยจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่ารัฐบาลมีปัญญาแจกเงิน แต่กลับไม่เคยคิดว่าเงินที่รัฐบาลนำไปหว่านแจกนั้นมาจากเงินภาษีอากรของคนไทยทุกคน แต่ก็น่าสมเพชที่สังคมไทยยังมีคนเห็นแก่ได้ เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่ได้คำนึงว่าความโลภ ความมักได้ของตนนั้นจะทำให้ตนเองและเพื่อนร่วมชาติ รวมถึงลูกหลานของตนเอง และคนรุ่นหลังจะต้องแบกรับปัญหาด้านการเงินการคลังของประเทศที่จะตามมาในอนาคตอันใกล้
เป็นเรื่องปกติสามัญของรัฐบาลไร้ยางอายที่ชอบตั้งหน้าตั้งตากู้เงิน สร้างหนี้สินมหาศาลให้ประเทศและประชาชน โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนแสนสาหัสที่จะตกกับสาธารณชน โดยความเดือดร้อนนั้นเกิดจากการกระทำอันไร้ความรับผิดชอบของรัฐบาล และยังพบว่ารัฐบาลที่ไร้ยางอายไม่ฟังคำทัดทานใดๆ จากผู้หวังดี แต่กลับมองว่าผู้หวังดีคือศัตรูของรัฐบาล แล้วอ้างว่าคนที่คัดค้านทัดทานรัฐบาลคือผู้ทำลายชาติ
ประเด็นการหว่านแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่นบาท ให้ประชาชนเฉพาะกลุ่มที่รัฐบาลกำหนดเกณฑ์ไว้ คือการสร้างหนี้สินให้ประเทศชาติโดยตรง แม้รัฐบาลจะบอกว่าจำเป็นต้องแจก เพราะได้หาเสียงไว้ในระหว่างการเลือกตั้ง แต่ปัญหาคือรัฐบาลไม่มีเงินสำหรับแจก ครั้นเมื่อไม่มีเงิน รัฐบาลก็ต้องสร้างหนี้ก้อนโตให้ประเทศ ซึ่งการสร้างหนี้สินโดยรัฐบาลนั้น รัฐบาลทุกชุดที่เป็นผู้ก่อหนี้ก็ไม่เคยกลับมาชดใช้หนี้ที่ตนเองก่อขึ้น แต่ทิ้งภาระไว้ให้ประชาชนต้องรับผิดชอบ
รัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่มีนายกรัฐมนตรีโดยนิตินัยชื่อเศรษฐา ทวีสิน แต่ทว่ามีนายกรัฐมนตรีโดยพฤตินัย ชื่อทักษิณ ชินวัตร ยังคงพยายามก่อหนี้มหึมาให้ประเทศ โดยไม่สนใจว่ามูลหนี้ที่ก่อนั้นจะส่งผลเสียอย่างร้ายแรงสถานใดต่อประเทศ จนทำให้สาธารณชนที่มีความรู้ด้านการเงินการคลังของประเทศตั้งคำถามว่าการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพิ่มเติมของปี 2567 หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ว่างบกลางปี 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท เพื่อนำเงินไปแจกในโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ส่งผลให้เกิดประเด็นการกู้เงินแบบขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลเพิ่มขึ้นอีก 1.12 แสนล้านบาท เพราะรัฐบาลตั้งเป้าจัดเก็บรายได้จากงบประมาณไว้เพียง 1 หมื่นล้านบาท ดังนั้น จึงต้องกู้เงินส่วนที่เหลือ ซึ่งเท่ากับกู้ขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นส่งผลให้การขาดดุลงบประมาณประจำปี 2567 เพิ่มเป็น 815,065 ล้านบาท
หากพิจารณาตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และเพิ่มเติมมาตรา 21 กำหนดให้การตั้งงบประมาณรายจ่ายขาดดุล จะต้องอยู่ในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 20 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ใช้ในขณะนั้น และต้องไม่เกินร้อยละ 80 ของงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สำหรับชำระคืนเงินต้นดังนั้น การที่รัฐบาลกู้เงินเพิ่มสำหรับงบกลางปี 2567 อีก 1.12 แสนล้านบาท จะทำให้การขาดดุลงบประมาณปี 2567 ขึ้นไปแตะระดับ 805,000 ล้านบาท ทำให้กรอบที่รัฐบาลจะกู้เงินเพิ่มเติมในอนาคตคงเหลืออยู่เพียง 10,056 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้น หากเกิดเหตุวิกฤตร้ายแรงต่อประเทศ แล้วรัฐบาลจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อใช้แก้วิกฤต ถามว่าจะมีกรอบวงเงินกู้เพิ่มเติมได้หรือ แล้วเราจะแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศได้อย่างไร ในเมื่อกรอบการกู้เงินเต็มเพดานไปแล้ว หากเกิดวิกฤตขึ้นมาอีก รัฐบาลจะมีปัญญาหาเงินจากที่ไหนไปใช้ดับวิกฤตนั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี