สาธารณชนผู้ที่ติดตามข่าวความสัมพันธ์ระหว่างผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยกับนายกรัฐมนตรีมาโดยตลอด ต้องเห็นชัดแล้วว่า นายกรัฐมนตรีพยายามบีบและแทรกแซงการทำงานของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมาโดยตลอด แล้วไม่ใช่แค่นายกรัฐมนตรีแสดงพฤติกรรมดังกล่าวเท่านั้น แต่ยังพบด้วยว่าคนที่อยู่ในแวดวงที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี ก็แสดงพฤติกรรมต่อผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ต่างไปจากพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีแสดงออกชัดเจนว่าต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง โดยอ้างว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้น แถมยังอ้างว่าเศรษฐกิจของประเทศไม่ดี เพราะดอกเบี้ยแพง แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีมุมมองที่ต่างออกไป แล้วยังคงยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิม
เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ยอมทำตามความต้องการส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี ก็ทำให้สาธารณชนเห็นชัดว่านายกรัฐมนตรีแสดงอาการไม่พอใจผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมากขึ้น แล้วก็ยังพบด้วยว่าบรรดาคนใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่ปรึกษาเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี ก็แสดงความไม่พอใจผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นระยะๆ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก เพราะว่าถ้าหากบรรดาเหล่าที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีคิดเอาเองว่าตนนั้นมีความสามารถมากพอ จนมีปัญญาแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้แล้ว ทำไมนายกรัฐมนตรีจึงไม่แต่งตั้งให้ที่ปรึกษาเหล่านั้นไปดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสียเลย ให้รู้แล้วรู้รอดไป จะได้รู้กันไปเลยว่าคนที่พยายามกดดันผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นมีปัญญาทำงานจริงๆ หรือว่าดีแต่ตีฝีปากไปวันๆ เท่านั้น แต่ทว่าหาได้มีฝีมือและความสามารถไม่
การที่รัฐบาลตั้งใจ หรืออาจจะถูกมองว่าเพ้อฝันคิดเอาเองว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้เฟื่องฟู มันไม่ใช่เรื่องผิด เพราะว่ามีสิทธิ์ฝัน แต่หากเมื่อพิจารณาเนื้อแท้แล้วพบว่ารัฐบาลไม่มีเงินในคลัง ก็ควรจะต้องเก็บฝันนั้นไว้ก่อน ไม่จำเป็นต้องทุรนทุรายทำในสิ่งที่ตนเองยังไม่พร้อม แล้วถ้ายังฝืนจะทำเรื่องนั้นโดยที่ต้องสร้างภาระหนี้สินให้ประเทศจำนวนมหาศาล ก็ยิ่งเป็นเรื่องไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง
รัฐบาลที่มีวุฒิภาวะต้องฟังว่าธนาคารแห่งประเทศไทยมีข้อท้วงติง และข้อเสนอแนะอย่างไร ไม่ใช่อ้างตะพึดตะพือว่าตนเองเป็นรัฐบาล ตนเองมาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นต้องทำตามสิ่งที่หาเสียงไว้ เพราะรัฐบาลต้องไม่ลืมว่านโยบายหลายๆ เรื่องที่รัฐบาลก่อนหน้านี้เคยหาเสียงไว้นั้น ก็ทำให้ประเทศชาติพินาศบรรลัยมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรถยนต์คันแรก การจำนำข้าวทุกเมล็ด และการขึ้นค่าแรงโดยไม่ดูศักยภาพของคนงาน จนที่สุดทำให้เกิดทุนไหลออกจากประเทศไทยไปยังประเทศที่ค่าแรงต่ำกว่า ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทยก็ต้องทำงานประสานกับรัฐบาล แต่ก็มิใช่ว่าต้องทำตามคำสั่งที่ไม่ฉลาดของรัฐบาลไปเสียทุกเรื่อง เพราะการทำตามคำสั่งที่ไม่ฉลาดของรัฐบาล คือการพาประเทศชาติไปประสบความวิบัติ
ล่าสุดมีข่าวว่ารัฐบาลยังคงพยายามเข้าไปมีอิทธิพลเหนือธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีข่าวหลุดรอดมาว่าจะส่งกิตติรัตน์ ณ ระนอง และศุภวุฒิ สายเชื้อ (สองคนนี้คือที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยและของนายกรัฐมนตรี) เข้าไปเป็นประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทย หลังจากปรเมธี วิมลศิริ จะพ้นตำแหน่งประธานบอร์ดฯ เดือนกันยายน 2567
สำหรับกิตติรัตน์และศุภวุฒินั้นแสดงความเห็นต่อสาธารณชนอย่างเปิดเผยตลอดมาว่าต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และยังเคยวิพากษ์วิจารณ์ว่าดอกเบี้ยของไทยแพงมากจนเป็นปัญหาต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ในขณะที่ผู้มีความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์จำนวนมากในประเทศไทยตั้งข้อสงสัยว่า การลดดอกเบี้ยจะทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นจริงๆ หรือ แล้วถ้าหากลดดอกเบี้ยแล้วเกิดปัญหาเศรษฐกิจอื่นๆ ที่รุนแรงยิ่งกว่าตามมา รัฐบาลเศรษฐาจะโทษใครอีก หรือจะโทษพระสยามเทวาธิราชว่า
ไม่ทรงทำหน้าที่ปกป้องประเทศ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี