บ้านเรือนที่ใช้สอยมาระยะหนึ่งย่อมมีสิ่งสกปรกโสโครกและต้องชำระล้างเป็นการใหญ่ กระทั่งอาจต้องซ่อมบำรุงใหญ่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกบ้านเรือน ชาติบ้านเมืองก็เหมือนกัน เมื่อตั้งอยู่ผ่านวันเวลาไปนานแล้วก็ย่อมมีความสกปรกโสโครกหรือเน่าเฟะอันจำเป็นจะต้องชำระล้างเป็นการใหญ่เช่นเดียวกัน
ในยุครัตนโกสินทร์นี้ก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว นั่นคือการปฏิรูปใหญ่ประเทศไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ซึ่งในครั้งนั้นได้มีการชำระสะสางบ้านเมืองครั้งใหญ่ ตั้งแต่ระบบการเมืองการปกครอง การปฏิรูปกฎหมาย และการต่างประเทศ รวมทั้งการเงิน การคลัง และหลักเศรษฐกิจของประเทศไทย
ทั้งนี้ได้มีการวางหลักยุทธศาสตร์ชาติเป็นครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติ โดยกำหนดให้ประเทศไทยมียุทธศาสตร์สองแนวทาง คือ การสร้างชาติเป็นประเทศเกษตรอุตสาหกรรมอย่างหนึ่ง และการสร้างชาติให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมบริการอีกอย่างหนึ่ง
การชำระสะสางครั้งใหญ่ในครั้งนั้นได้สร้างประเทศไทยใหม่ขึ้นที่อยู่แนวหน้าสุดและมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในยุคสมัยนั้น ไม่ว่าด้านการเมือง การปกครอง หรือการภายในประเทศ และการต่างประเทศ มีเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ที่เข้มแข็งที่สุด และมีความเป็นสากลมากที่สุด หลักฐานง่ายๆ ก็คือเงินบาทไทยในยุคนั้นมีภาษาต่างประเทศกำกับอยู่ถึง 5 ภาษา
ศูนย์กลางการล้างความสกปรกโสโครกในบ้านเมืองในครั้งนั้นอยู่ที่พระเจ้าแผ่นดินซึ่งทรงเป็นรัฏฐาธิปัตย์และประมุขแห่งรัฐ และวางศูนย์กลางการชำระล้างหรือการปฏิรูปใหญ่ประเทศไทยในครั้งนั้นไว้ที่ระบบกฎหมาย ทำให้ประเทศไทยมีระบบกฎหมายที่เจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้าที่สุดในยุคนั้น โดยทรงตั้งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาขึ้นให้เป็นศูนย์กลางในพระองค์ในการล้างความสกปรกโสโครกทั้งหลายในบ้านเมือง เพราะทุกสรรพสิ่งในการชำระล้างหรือแก้ไขล้วนต้องอาศัยกฎหมายเป็นพื้นฐาน ดังนั้นจึงทรงใช้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นศูนย์กลางชำระล้างความสกปรกโสโครกในยุคนั้น
บรรดายอดคนทั้งหลายของแผ่นดินที่มีความสัตย์ซื่อสุจริตต่อบ้านเมืองก็มีพระบรมราชโองการให้ไปช่วยตอบแทนคุณแผ่นดินในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น
ทรงเปรียบเทียบความชำรุดทรุดโทรมของประเทศไทยหรือสยามในยามนั้นว่าถ้าเปรียบเป็นเรือก็ผุชำรุดแล้วทั้งลำ ไม่สามารถซ่อมแซมได้อีกแล้ว จำเป็นต้องรื้อสร้างใหม่ครั้งใหญ่ จึงทำให้ระบบกฎหมายของประเทศไทยในทุกด้านถูกวางหลักให้เป็นศูนย์กลางของการชำระล้างความสกปรกโสโครกในบ้านเมืองเป็นที่ประจักษ์
ครั้นเวลาเนิ่นนานผ่านไปก็เป็นธรรดาแห่งยุคสมัยที่ทำให้สิ่งใหม่ที่ทรงสร้างไว้ในครั้งนั้นกลายเป็นความเก่า ความแก่ ความชำรุดปรักหักพัง กระทั่งเกิดความเน่าเฟะเป็นที่อาศัยของมดปลวกที่ชอนไชเกาะกินบ้านเมือง จนทำให้สถานการณ์ทั้งหลายในปัจจุบันนี้ทรุดหนักสกปรกโสโครกยิ่งกว่ายุคสมัยนั้นหลายเท่า
ที่สำคัญคือ ตลอดระยะเวลาร่วม 50 ปีที่ผ่านมานี้ได้บังเกิดสิ่งที่เรียกว่าคณะไสยศาสตร์ทางกฎหมายที่เข้ายึดครองระบบกฎหมายของบ้านเมืองไว้ทั้งหมด แม้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและเครือข่ายโยงใยทั้งหลาย กระทั่งวางเครือข่ายหน่อกอของความชั่วร้ายทั้งหลายไปยังหน่วยงานต่างๆ อีกจำนวนมาก ทำให้ระบบทั้งหลายของบ้านเมืองชำรุดทรุดโทรมไร้กฎเกณฑ์ โดยเฉพาะระบบกฎหมายและความยุติธรรมที่ไม่มีผู้ใดนับถือ เช่นคำพังเพยที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปว่า กฎหมายจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับใจของนักไสยศาสตร์ทางกฎหมาย
หรืออภินิหารทางกฎหมายสามารถดลบันดาลทุกอย่างให้เกิดขึ้นได้ แม้กระทั่งความบกพร่องโดยสุจริตก็เกิดให้เห็นมาแล้ว ดังนั้นจึงทำให้ประเทศไทยมีความขัดแย้งใหญ่ขึ้นในทุกอณูและทุกระบบของบ้านเมือง เพราะที่ใดมีความไม่เป็นธรรมดำรงอยู่ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้เป็นธรรมดา และถ้าการต่อสู้ดำเนินไป ในที่สุดบ้านเมืองก็บรรลัยดังที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงเตือนไว้ว่าชาติใดไร้ธรรมอำไพ ชาตินั้นบรรลัยแน่นอน
ก็แลบัดนี้สภาพไร้ธรรมอำไพได้เกิดขึ้นในทุกปริมณฑลของการเมือง การปกครอง การบริหาร การเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ เป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งใหญ่ต่อเนื่องยาวนานมาตั้งแต่ปี 2548 ถึงบัดนี้เป็นเวลา 19 ปีแล้ว ยาวนานกว่าความขัดแย้งครั้งใหญ่หลังพุทธกาล คือความขัดแย้งในทางลัทธิกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่เกิดเป็นการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ ตั้งแต่ปี 2508 จนกระทั่งสิ้นสุดยุติลงในปี 2526
มีการรบราฆ่าฟันกันเป็นพื้นที่ถึง 47 จังหวัด มีข้าราชการต้องเสียชีวิตปีละถึง 1,400 คน จนในที่สุดด้วยพระบารมีและพระเมตตาคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทานพระราชดำริแก่รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ว่าประเทศไทยจำเป็นต้องปรับนโยบายแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยวิธีสันติก้าวข้ามความขัดแย้งนำประเทศไทยเข้าสู่สันติ จึงเป็นที่มาของคำสั่งนโยบาย 66/2523 อันลือลั่น และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จดังพระราชประสงค์
บรรดาผู้ขัดแย้งทั้งหลายได้รับการอภัยโดยไม่เลือกหน้าไม่เลือกข้อหาให้กลับเข้ามาสู่อ้อมอกของครอบครัวและสังคมโดยไม่มีโทษไม่มีเงื่อนไขเพื่อเข้าร่วมพัฒนาชาติไทย บ้านเมืองจึงบังเกิดความสงบสุขเรื่อยมา จนบังเกิดความขัดแย้งใหญ่ในปัจจุบันนี้
ความขัดแย้งใหญ่ในปัจจุบันนี้ร้าวลึกลงไปถึงเส้นเลือดใหญ่ของสังคมและสถาบันหลักของประเทศ จนก่อเกิดเป็นวิกฤตที่หนักหน่วงและเป็นอันตรายร้ายแรงอย่างยิ่ง ที่สำคัญได้สร้างความทุกข์เข็ญให้แก่คนทั้งหลายโดยไม่เลือกหน้า และปัญหายังจะขยายตัวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ดังเช่นกรณีในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น ซึ่งแทนที่ต่างคนต่างดูแลบ้านเมืองราษฎรกลับต้องรบราฆ่าฟันกันเองอย่างอำมหิต
ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง เดินหน้าประเทศไทย ชำระล้างความสกปรกโสโครกทั้งหลายตามแบบอย่างที่เคยทำมาแล้วในสมัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ซึ่งจะต้องเริ่มต้นโดยใช้ความคิดสันติและอภัยในการอภัยโทษให้กับคนทั้งหลายทั้งปวงที่ต้องโทษหรือต้องหาทางอาญา ทางวินัย หรือทางจริยธรรม จนทำให้ประชากรของชาติเป็นอัมพาตอัมพฤกษ์เน่าเฟะไปเป็นจำนวนมาก เพื่อให้โอกาสทุกคนมีชีวิตใหม่ มาร่วมกันสร้างสรรค์ประเทศไทยใหม่ให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป
ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะเอาด้วยหรือไม่ ถ้าจะเอาด้วยช่วยกันก็บอกว่าจะขอร่วมด้วยช่วยอีกแรง เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้งและสร้างประเทศไทยใหม่ที่เจริญรุ่งเรืองต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี