ประเทศไทยมีประชาธิปไตยจริงๆ หรือว่ามีแค่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แล้วการที่มีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หมายความว่าประชาธิปไตยตายไปแล้วใช่ไหม จึงต้องทำอนุสาวรีย์ไว้เพื่อเป็นที่ระลึก เพราะไม่มีใครที่ไหนทำอนุสาวรีย์เพื่อให้คนระลึกถึงสิ่งที่ยังคงดำรงอยู่
ข้อเท็จจริงประการสำคัญของสังคมไทยคือ เรามีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์ปกครองประเทศ ไปเป็นการปกครองที่ผู้แย่งชิงแล้วยึดอำนาจจากกษัตริย์ แล้วก็อุปโลกน์ว่าเรามีการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่กลุ่มคนที่แย่งแล้วยึดอำนาจกษัตริย์ก็ไม่เคยพูดชัดๆ ว่าได้อำนาจการปกครองมาจากการชิงอำนาจมาจากกษัตริย์
จากปี พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน เราทุกคนก็ยังสงสัยว่าแท้จริงแล้วเรามีประชาธิปไตยจริงๆ หรือ หรือเป็นแค่เพียงคำพูดสวยๆ ว่าเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
ความเป็นประชาธิปไตยมันง่ายมากกระนั้นหรือ แค่มีคนกลุ่มหนึ่งที่ใช้อำนาจของอาวุธแล้วก่อการแย่งแล้วชิงอำนาจจากกษัตริย์ แล้วจากนั้นก็เกิดประชาธิปไตยบนแผ่นดินนี้ได้ ถามจริงๆ ประชาธิปไตยมันเกิดขึ้นได้งายดายกระนั้นหรือ หากการแย่งอำนาจจากคนคนหนึ่งแล้วทำให้เกิดประชาธิปไตยได้จริงๆ โลกทั้งโลกคงเป็นประชาธิปไตยกันหมดแล้ว เพราะการแย่งชิงอำนาจจากคนเป็นเรื่องที่กระทำได้โดยไม่ยากเย็น
แต่หากจะพูดกันจริงๆ แล้ว แม้คนกลุ่มหนึ่งจะแย่งแล้วชิงอำนาจจากกษัตริย์ไปได้ แต่สุดท้ายคนกลุ่มนั้นก็ต้องรบราฆ่าฟันกันเอง จนสุดท้ายแต่ละคนก็ต้องประสบความวิบัติบรรลัย หลายคนต้องหนีไปตายนอกแผ่นดินไทย ไปตายทั้งๆ ที่ตนเองแย่งอำนาจมาจากกษัตริย์ได้แล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องมากัดกันเอง มาแย่งอำนาจกันเอง แล้วสุดท้ายก็ต้องตายนอกแผ่นดินที่ตนเองคิดว่าจะสถาปนาประชาธิปไตยให้
ที่น่าสมเพชมากที่สุดคือ หลังจากกลุ่มบุคคลที่ประกาศว่าต้องการสร้างประชาธิปไตยให้ประเทศสามารถแย่งแล้วยึดอำนาจจากกษัตริย์ได้ จนในที่สุดกษัตริย์ต้องตัดสินใจว่าไม่สามารถอยู่บนแผ่นดินนี้ได้อีกต่อไป จึงเสด็จไปอยู่ที่อังกฤษ แล้วสุดท้ายก็เสด็จสวรรคตที่อังกฤษ แต่ที่บอกว่าน่าสมเพชมากที่สุดคือ หลังจากแย่งอำนาจจากกษัตริย์ได้ไม่กี่เดือน ก็เกิดรัฐประหารขึ้นเมื่อ 1 เมษายน 2476 โดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ประกาศปิดสภาผู้แทนราษฎร แล้วสั่งงดใช้กฎหมายในรัฐธรรมนูญบางมาตรา
ถามจริงๆ น่าสมเพชมากใช่ไหม เพราะหลังจากแย่งอำนาจจากกษัตริย์ได้แล้ว กลุ่มคนที่ยึดอำนาจได้ ก็ฟัด ก็กัดกัน เหมือนที่สังคมไทยเปรียบเปรยว่า กัดกันเหมือนหมาแย่งชามข้าว (อันที่จริงหมาที่ถูกฝึกมาดีๆ ก็ไม่กัดกัน ไม่แย่งกันกิน) เหตุที่กลุ่มผู้ยึดอำนาจต้องกัดต้องฟัดกันเหมือนหมาก็เพราะแย่งอำนาจกันเอง สรุปก็คือ แย่งอำนาจมาจากกษัตริย์ได้แล้ว ก็กลับมาแย่งอำนาจกันเอง แล้วฟัดกันเอง เพราะฉะนั้น ที่อ้างว่าจะสร้างประชาธิปไตยหลังจากยึดอำนาจจากกษัตริย์ก็จึงเป็นเพียงข้ออ้างที่เลื่อนลอย เพราะข้อเท็จจริงก็คือผู้มีอำนาจรัฐรายใหม่ ต่างก็ต้องการกุมอำนาจรัฐไว้ในกำมือ ส่วนข้ออ้างเรื่องประชาธิปไตยจึงเป็นเพียงนิทานโกหกที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้กลุ่มคนยึดอำนาจจากกษัตริย์ดูดีเท่านั้นเอง
หลังเกิดการยึดอำนาจในกลุ่มผู้แย่งชิงอำนาจจากกษัตริย์ครั้งแรกเมื่อ 1 เมษายน 2476 ก็เกิดการยึดอำนาจครั้งที่สองเมื่อ 20 มิถุนายน 2476 แล้วจากนั้นก็เกิดการยึดอำนาจเป็นระลอกๆ ต่อมา เช่นในปี 2490 2491 2494 2500 2501 2514 2519 2520 2534 2549 และ 2557
นี่คือความจริงของการเมืองไทย หลังจากกษัตริย์ถูกแย่งชิงพระราชอำนาจไปโดยคนกลุ่มที่อ้างว่าจะสถาปนาประชาธิปไตยบนแผ่นดินสยามไทย แต่จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นว่าประเทศสยามไทยจะมีประชาธิปไตยที่แท้จริงบังเกิดขึ้นแต่ทว่าสังคมนี้มีนักการเมืองเกิดขึ้นมา ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็วิพากษ์ตรงกันว่าส่วนมากเป็นนักการเมืองจำพวกเลวชาติ จนเข้าขั้นชาติชั่ว และสารเลว
สรุปว่าประเทศเรายังหาประชาธิปไตยไม่เจอ แต่ที่เจอเป็นประจำก็คือนักการเมืองสารเลว (miscreant, swinish) แล้วยิ่งนับวันเราก็จะยิ่งพบนักการเมืองสารเลวมากขึ้น และมากขึ้นเป็นลำดับ นักการเมืองบางจำพวกเลวตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นพ่อยันรุ่นลูก รุ่นหลาน จนถูกวิจารณ์ว่าเลวทั้งโคตรเลวทั้งตระกูล
นอกจากบ้านเมืองของเราจะมีนักการเมืองส่วนมากอยู่ในจำพวกสารเลวแล้ว บ้านเมืองของยังมีพ่อค้านักธุรกิจสารเลวที่ผูกขาดการค้าการขายไว้ในกำมือของตนเอง(monopoly) เราพบว่าพ่อค้าเลวๆ จะหากินกับกลุ่มอำนาจรัฐสารเลว โดยพบว่าพ่อค้าเลวจะให้การสนับสนุนกลุ่มอำนาจรัฐสารเลว เพื่อให้กิจการการค้าและการทำธุรกิจเลวๆ ของตนเติบโตบนความทุกข์ยากของประชาชน เพราะฉะนั้น จึงพบว่าอำนาจทุนจากพ่อค้าเลวจึงไปได้ดีกับอำนาจรัฐสารเลว
แต่มาในยุคนี้ เราได้พบอีกว่านักการเมืองจำพวกชอบตีฝีปากจนกระทั่งได้คะแนนนิยมจากคนที่คิดไม่ทัน และคนที่หลงรูป หลงคารมนักการเมือง แล้วพากันแห่เทคะแนนให้ ทั้งๆ ที่นักการเมืองจำพวกที่ว่านั้นเลวและสารเลวไม่ต่างไปจากนักการเมืองกลุ่มเดิมๆ เพียงแต่นักการเมืองเลวกลุ่มใหม่ ชอบสร้างประเด็นความไม่เท่าเทียม ไม่เสมอภาค ไม่เป็นธรรมมาเป็นจุดขาย เพื่อหลอกคนโง่ให้ไปลงคะแนนให้ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วนักการเมืองใหม่กลุ่มที่ชอบปั้นประดิษฐ์วาจาลวงโลกก็มาจากโคตรเหง้าเหล่าตระกูลของพ่อค้าเลว (พูดเพียงเท่านั้น เชื่อว่าคนที่มีสติมีปัญญาต้องรู้โดยทันทีว่าหมายถึงนักการเมืองกลุ่มไหน พรรคอะไร หน้าตาเป็นอย่างไร มีชื่อเสียงอะไร)
นักการเมืองที่มาจากโคตรตระกูลที่ทำธุรกิจแบบเอารัดเอาเปรียบแรงงาน และสังคม ชอบสร้างวาทะเรื่องความเท่าเทียม เสมอภาค เป็นธรรม ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วเขาเติบโตมาจากโคตรตระกูลที่เต็มไปด้วยความตะกละ ทุจริต ฉ้อฉล และไม่เคยให้ความเป็นธรรมใดๆ กับคนงานที่ตกเป็นทาสในธุรกิจของโคตรตระกูลของเขา นักการเมืองหน้าใหม่ จำพวกหน้าไม่อายกลุ่มนี้ปั้นประดิษฐ์วาจาเพื่อตบตาและลวงคนโง่ให้หลงเชื่อได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อ้างตัวว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งมองแล้วเข้าใจว่าสังคมไทยมันเลวร้ายเพราะมีสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วโยนความผิดทั้งหมดให้สถาบันพระมหากษัตริย์ มองว่าสถาบันพระมหากษัตริย์คือต้นตอของการเอารัดเอาเปรียบ กดขี่ขูดรีด แบ่งชนชั้นวรรณะ และเป็นผู้รีดนาทาเร้น สรุปคือนักการเมืองเลวที่มาจากโคตรตระกูลพ่อค้าเลว โยนความผิดทั้งหลายทั้งปวงให้กษัตริย์ โดยสร้างภาพและวาทะลวงโลกมอมเมาคนรุ่นใหม่ที่ใสซื่อเพราะไร้ปัญญาค้นหาความจริงให้เข้าใจว่ากษัตริย์คือต้นตอแห่งความเลวร้าย และเป็นตัวปัญหาของประเทศ
ถามว่าคนรุ่นใหม่ (จำพวกไร้สติ) หลงเชื่อนักการเมืองเลวเพราะอะไร ตอบว่า เพราะคนรุ่นใหม่รู้สึกว่าตนเองยากจน ตกต่ำ ไม่สะดวกสบาย ไม่มีสิทธิเสรีภาพ ไม่เสมอภาค โดยเอาตัวไปเปรียบกับคนที่ตนเองเห็นว่าเขารวยกว่า สูงกว่า แล้วก็เลยพยายามจะลากคนอื่นๆ ที่สูงกว่าตนลงมาให้เท่ากับตัวเอง แต่ไม่เคยพยายามสร้างหรือทำให้ตัวเองสูงเท่าคนอื่น คนรุ่นใหม่ (จำพวกไร้สติ สิ้นปัญญา) มองว่าที่ตนเองยากจน หรือครอบครัวตัวเองยากจน เพราะถูกกระทำจากคนอื่นครั้นเมื่อหาคนรับผิดไม่ได้ ก็โยนไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์โดยหลงเชื่อคำกล่าวร้ายของนักการเมืองเลว (อันที่จริงต้องบอกว่าตามคำโกหกของคนเลวที่ทำอาชีพสอนหนังสืออย่างเลวๆในมหาวิทยาลัยของรัฐหลายแห่ง โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยของรัฐที่ได้รับการยกย่องว่าเก่าแก่มากๆ)
เมื่อคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยไร้สติ สิ้นปัญญา แต่เข้าใจว่าตนเองเก๋มาก ฉลาดล้ำ ทันสมัยเปี๊ยบ และยังหลงตัวว่ามีสติปัญญาสูงส่งมากๆ มากกว่าคนรุ่นปู่ย่าตายาย และรุ่นพ่อรุ่นแม่ แถมยังโยนความผิดทั้งหลายทั้งปวงให้ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ลุงป้าน้าอา แล้วก็ฝันเฟื่องว่าทุกอย่างต้องจบที่รุ่นเรา โดยไม่เคยมองว่าทุกวันนี้ไอ้บรรดาพวกที่อ้างว่าต้องจบที่รุ่นเรานั้นยังต้องแบมือขอเงินจากพ่อแม่ใช้ทุกวัน โดยไม่มีปัญญาหากินเลี้ยงชีพตัวเองได้ แถมยังมีบางพวกเพ้อคลั่งว่าจะต้องมีชีวิต slow life จะ early retirement เมื่ออายุ 30 ปี จะมี passive income แล้วเพ้อฝันไปสารพัดสิ่ง แต่สุดท้ายปรากฏว่าฝันสลาย แถมยังก่อหนี้สินอีกบานเบอะ โดยไม่มีปัญญาชำระหนี้ที่ก่อขึ้น แล้วก็โทษอีกว่าที่ตนเองไม่มีปัญญาชำระหนี้ก็เพราะระบบกษัตริย์เอารัดเอาเปรียบ ซึ่งก็แล้วแต่จะเพ้อคลั่งแล้วโยนความผิดให้คนอื่นไปตามแบบฉบับคนไร้สติ สิ้นปัญญา เพราะคนพวกนี้คิดเป็นเพียงแค่ คนอื่นผิด คนอื่นคือปัญหา คนอื่นสร้างปัญหาให้ตน ตนคือผู้รับปัญหา แล้วก็ตีโพยตีพายตะโกนด่าผู้อื่น แล้วก็ฝันว่าทุกอย่างต้องจบที่รุ่นเรา
เมื่อสังคมไทยของเรามีแต่เหตุปัจจัยเลวๆ ดังกล่าวในข้างต้น ก็จึงนำไปสู่การใช้อำนาจปืน อำนาจรถถัง เพื่อก่อรัฐประหาร โดยกลุ่มทหารที่ดีแต่ปาก แล้วยึดอำนาจเพื่อตัวเองโดยปราศจากปัญญาแก้หรือชำระสะสางปัญหาของสังคม ทหารเลวกลุ่มที่ว่านั้นดีแต่ปาก ก่อนยึดอำนาจก็อ้างว่าต้องการทำความสะอาดบ้านเมือง แต่เมื่อยึดอำนาจแล้ว ก็ยิ่งทำให้บ้านเมืองสกปรกโสโครกหนักกว่าเดิม ปากก็บอกว่าขอเวลาอีกไม่นาน แต่สุดท้ายก็ไม่มีปัญญาแก้ปัญหาให้ประเทศ มิหนำซ้ำยังทำให้ประเทศทรุดหนักกว่าเดิม
เวรกรรมของประเทศไทย และเวรกรรมของคนไทยจริงๆ ที่เราต้องเผชิญกับนักการเมืองเลว นายทุนสามานย์ ทหารเลว (ข้าราชการทราม) แถมยังต้องมาเจอกับคนรุ่นใหม่จำพวกกลวงโบ๋ ที่ชอบหลงคิดว่าตนเองมีปัญญาลึกล้ำ แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วเป็นพวกเลื่อนลอย ล่องลอย เพ้อเจ้อ ปากตะโกนไปเรื่อยๆ ว่าต้องจบที่เรา ต้องจบที่เรา เมื่อบ้านเมืองของเราเป็นแบบนี้ เราก็จึงมีการเมืองแบบที่เห็นและเป็นอยู่ เราคงต้องฝันแบบเพ้อๆ ไปเรื่อยๆ ว่าเราจะมีประชาธิปไตย แต่ขอบอกว่าประชาธิปไตยไม่ได้เกิดขึ้นได้ด้วยความฝัน คนเพ้อฝัน คนไร้สติ สิ้นปัญญา ไร้ความละอาย ปราศจากจิตสาธารณะ ไม่สามารถทำให้ประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยได้
มีประเทศไหนบนโลกใบนี้ที่สร้างประชาธิปไตยได้บนพื้นฐานของสังคมที่เต๊มไปด้วยคนไร้สติ สิ้นปัญญา แถมยังมีแต่นักการเมืองไร้ยางอาย และมีแต่พ่อค้าตะกละที่คิดเพียงกอบโกยด้วยการทำธุรกิจผูกขาด แถมยังมีข้าราชการทั้งพลเรือนและทหารตำรวจที่ยอมสยบต่ออำนาจนักการเมืองสามานย์ แล้วก็ยังต้องมาเจอคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยที่ตัั้งหน้าตั้งตาล่อลวงนิสิตนักศึกษาให้กระทำการอันเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองและต่อตัวของนิสิตนักศึกษาเอง ขอยืนยันว่าบ้านเมืองแบบนี้ไม่มีวันเป็นประชาธิปไตยอย่างแน่นอน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี