จากกรณีพรรคเพื่อไทย มีแนวโน้มจะผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยจะให้มีการนิรโทษกรรมคดี ม. 112 ด้วยเพื่อช่วยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ถูกอัยการสูงสุด สั่งฟ้องข้อหาความผิดตาม ม.112 นั้น
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ว่า ได้เวลาร่วมกันแสดงออก สู้กับพวกขายชาติ “คัดค้านนิรโทษกรรม 112” พบกันวันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายนนี้ 19.00 น. ที่เวทีคปท.
เรื่องนี้ มี “ปฏิกิริยา” จากหลายคน หลายฝ่าย ดังนี้
1) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ว่า “ทักษิณ คือปัญหาใหญ่ ของนิรโทษม.112” ความว่า...
ก่อนที่นายทักษิณ ชินวัตร จะถูกอัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องในความผิดมาตรา 112 นั้น กระแสการนิรโทษกรรมครอบคลุมถึงการกระทำผิด มาตรา 112 หรือไม่ มีทั้งฝ่ายคัดค้านและฝ่ายสนับสนุนเป็นไปตามปกติ แต่เมื่อมีประเด็นของนายทักษิณเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้ประเด็นการนิรโทษกรรมให้กับผู้กระทำผิด ม.112ร้อนแรง มีผลกระทบทันที เพราะทุกฝ่ายมุ่งประเด็นไปที่นายทักษิณเป็นหลัก
แม้แต่พรรคเพื่อไทยเอง ก็ไม่กล้าขยับเรื่องนี้ รอดูท่าทีและกระแสสังคมก่อน กลัวเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนคราวสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ผลักดันการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบสุดซอย เพื่อล้างความผิดให้กับนายทักษิณและมวลชนคนเสื้อแดง กลุ่มนปช.
แต่การออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมในครั้งนี้ แตกต่างกับการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบสุดซอย เพราะเป้าหมายการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ ครอบคลุมทุกกลุ่มได้รับประโยชน์กันทุกฝ่าย ถ้ารวมถึงผู้กระทำผิดมาตรา 112 ด้วย เป็นการเซตซีโร่ผู้กระทำผิดทางการเมืองอย่างแท้จริง
ถ้าหากพรรคเพื่อไทยมีความกล้าหาญที่จะผลักดันพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ให้ประสบความสำเร็จ และครอบคลุมถึงผู้กระทำผิดทุกกลุ่มไม่เว้นตัวนายทักษิณด้วย ก็สามารถทำได้ เฉพาะเสียงสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทยรวมกับพรรคก้าวไกล ก็สามารถผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนี้ได้สำเร็จแน่นอน
แม้ว่าจะมีพรรคร่วมรัฐบาลออกมาแสดงจุดยืน คัดค้าน ไม่ให้นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำผิดมาตรา 112ก็น่าไม่เป็นปัญหากับการร่วมรัฐบาล เพราะไม่มีพรรคการเมืองใดกล้าถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาลแน่นอน หรือรัฐบาลจะให้การออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ ให้ทุกพรรคฟรีโหวต เป็นความรับผิดชอบของสภาผู้แทนราษฎรไม่ใช่ของรัฐบาล เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในหมู่พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน ก็สามารถทำได้
ผมจึงเรียกร้องให้ทุกพรรค ได้แสดงความกล้าหาญ ผลักดันกฎหมาย พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพื่อนิรโทษให้กับทุกกลุ่ม และถ้าไม่นิรโทษให้ครบทุกกลุ่ม ก็ไม่ควรออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ออกมา เพราะไม่ตอบโจทย์เรื่องการสร้างความปรองดอง และสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในชาติ
2) นายวรชัย เหมะ อดีต สส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำคนเสื้อแดง ให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมของสภาในขณะนี้ ว่า ตนเคยทำเรื่องนี้ผ่านสภามาแล้ว ระยะเวลาจนถึงวันนี้ 10 ปีมาแล้ว แต่ยังไม่มีกฎหมายนิรโทษกรรมออกมา หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ ยึดอำนาจ คดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมืองมีเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัย เพราะฉะนั้นวันนี้เราเห็นความคิดต่าง ความแตกแยกของประเทศหนักขึ้นมีเหตุผลจากคดีทางการเมืองที่เกิดขึ้น ทำให้ประเทศชาติและประชาชนลำบากเพราะความขัดแย้งทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น
“ผมจึงเห็นว่าวันนี้หากต้องการทำให้ประเทศเดินหน้าได้เท่าเทียมกับประเทศในกลุ่มอาเซียน ต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุคือการลดความขัดแย้งทางการเมืองเพราะสาเหตุที่ทำให้ประเทศลำบากคือความขัดแย้งทางการเมือง เราต้องลดความขัดแย้งให้ได้เพื่อเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ สส.ทุกพรรคการเมืองไม่ว่าฝ่ายค้านหรือรัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับกฎหมายนิรโทษฯเป็นลำดับต้นๆ เพื่อผ่าวิกฤตความยากลำบากของประชาชน โดยผมมองว่า ควรนิรโทษกรรมคดีการเมืองทั้งหมดตั้งแต่ปี 2546 ถึงปัจจุบัน ไม่ว่าคดีใดๆ ก็ตามที่มีผลต่อเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง แม้แต่คดีที่เกี่ยวกับกฎหมายอาญา มาตรา 112
วันนี้หลายพรรคการเมืองไม่กล้าแตะต้องเรื่องนี้ เพราะคิดว่าจะมีผลลบต่อตัวเองตามมา แต่ความเป็นจริงการนิรโทษกรรมมาตรา 112 เป็นการช่วยเหลือสังคม ลดความขัดแย้ง คนรุ่นใหม่ที่ถูกดำเนินคดี 112 วันนี้มีเป็น 100 คดี บางคนไม่เข้าใจเกี่ยวกับคดี 112 ว่าครอบคลุมไปถึงอะไรบ้าง จึงแสดงออกด้วยท่าทีที่ไม่เหมาะสมออกมา เพราะฉะนั้นคนที่ทำผิด 2 หรือ 3 ครั้งแต่ไม่ได้ซ้ำซากมากกว่านั้นควรนิรโทษกรรม ยกเว้นคนที่มีเจตนาทำผิดซ้ำซากหลายๆ รอบก็ว่ากันไปตามลักษณะรายคดีและรายบุคคล หรือคนที่ได้รับการประกันตัวออกมาในคดีนี้ แต่ถ้ายังทำผิดซ้ำซากในเรื่องเดิมก็ว่าไปตามรายคดีของบุคคลนั้นๆ และในกฎหมายควรเขียนไว้ด้วยว่า คนที่ได้รับนิรโทษไปแล้วถ้ากระทำผิดซ้ำให้เอาความผิดเดิมมาพิจารณาประกอบไปด้วย”นายวรชัยกล่าว
นายวรชัยกล่าวอีกว่า การนิรโทษกรรมสมัย 66/23 การกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์รุนแรงกว่าตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นคดี 112 คดีทำให้คนตาย คดีอาวุธสงคราม ก็นิรโทษมาแล้ว แล้วทำให้ประเทศสงบพรรคคอมมิวนิสต์สลายตัว ทำให้เดินหน้ามาได้มีประชาธิปไตย เหตุการณ์วันนี้ที่เป็นความขัดแย้งของคนในประเทศ ไม่ใช่เรื่องรุนแรงหนักหนาเหมือนตอนทำสงครามกับคอมมิวนิสต์ เราจะนิรโทษให้กันไม่ได้เชียวหรือ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีคนมองว่าการออกมาแสดงความคิดเห็นเช่นนี้เพื่อช่วย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 อยู่หรือไม่นายวรชัยกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องคดีความไม่ใช่เรื่องบุคคล และตนเคยพูดเรื่องนี้มาโดยตลอด ไม่ได้ออกมาให้ความเห็นเพื่อช่วยนายทักษิณแต่อย่างใด
3) นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพ.ร.บ. นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงจุดยืนเรื่องการนิรโทษกรรมว่า ตนให้ความเห็นในการประชุม กมธ.ฯ ไปแล้วว่าการนิรโทษกรรมนั้นจะให้เฉพาะคดีชุมนุมทางการเมือง การเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ในส่วนของคดีที่มีการชุมนุมและกระทำความผิดตามมาตรา 112 นั้นไม่รวมด้วย
โดยส่วนตัวมองว่าการเรียกร้องการชุมนุมหรือการกระทำความผิดตามมาตรา 112 นั้น ต้องยอมรับว่าประเทศไทยเราเป็นประเทศในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะฉะนั้นการกระทำความผิดตามมาตรา 112 ที่จาบจ้วงสถาบันจะให้นิรโทษกรรมไม่ได้
ส่วนประเด็นที่เป็นการกระทำความผิดในคดีทุจริตการเลือกตั้งทางการเมืองนั้น ตนคิดว่าคนที่จะมาเป็นตัวแทนของประชาชน สิ่งหนึ่งที่จะต้องมีคือต้องทำตามกฎระเบียบของกฎหมายการเลือกตั้ง ไม่กระทำผิดต่อกฎการเลือกตั้งเพราะเราอาสามาเป็นตัวแทนของประชาชน
สำหรับเรื่องคดีทุจริตในการบริหารราชการแผ่นดิน ตนคิดว่าการจะเป็นตัวแทนของประชาชนที่ดีได้ต้องบริหารราชการแผ่นดินภายใต้กรอบระเบียบกฎหมาย และไม่การกระทำความผิด ไม่ทุจริตต่อการบริหารราชการแผ่นดิน
“นี่เป็น 3 เหตุผลที่ผมให้เหตุผลในที่ประชุม กมธ.นิรโทษกรรมว่า ผมมีจุดยืนเช่นนี้และคิดแบบนี้” นายชัยชนะ กล่าว
5) นายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ว่าหลักการสร้างความปรองดองเป็นจุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติ และเห็นด้วยในการสลายความขัดแย้งสีเสื้อตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อได้ แต่มีความผิดกลุ่มหนึ่งที่ควรถูกยกเว้นจากการนิรโทษกรรม คือ ความผิดอาญาร้ายแรง ทุจริตคอร์รัปชั่น และมาตรา 112
ด้าน นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ก็เห็นไปในแนวทางเดียวกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า ไม่ควรแตะต้องความผิดอาญาร้ายแรง ทุจริตคอร์รัปชั่น และมาตรา 112
6) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในฐานะสมาชิกพรรคภูมิใจไทย และเป็นอดีตสส. พรรคก้าวไกล ซึ่งขณะนั้น
เป็นคนหนึ่งที่ยืนยันไม่ลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ถูกเสนอเข้ามาเพื่อแก้ไขจนทำให้ถูกกล่าวหาสารพัด
ปัญหาของการพยายามแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีผลทำให้พรรคการเมืองที่พยายามจะแก้ไข และได้เอามาเป็นนโยบายในการหาเสียงในการเลือกตั้ง จนทำให้ปัจจุบันมีคดีไปอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ และรอวินิจฉัยในอีกไม่กี่วันที่จะถึง
รวมทั้งในขณะนี้กำลังจะมีการจะออกกฎหมายนิรโทษกรรม เพื่อให้ประเทศออกจากความขัดแย้งซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีและควรทำ แต่การที่จะนำคนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เข้ามารวมในการนิรโทษกรรมด้วยถ้าไม่ละเอียดรอบคอบ ไม่แยกแยะ อาจทำให้มีความขัดแย้งในสังคมและลุกลาม จนอาจทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้
ในฐานะที่เคยว่าความในคดี 112 มาก่อน เห็นว่าประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น เป็นกฎหมายที่มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้สถาบันพระมหากษัตริย์ ถูกรุกล้ำโดยไม่ถูกต้อง ไม่ถูกทำลาย ไม่ถูกบั่นทอนไม่ถูกกัดเซาะ ในหลายรูปแบบ หลายลักษณะ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จึงเป็นเหมือนรั้วที่มีไว้ เพื่อป้องกันสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้เป็นแนวเขตให้ทุกคนรู้ ถ้าใครไม่เข้าไปทำลายรั้ว ไปทุบรั้ว หรือเข้าไปรื้อรั้วคนเหล่านั้นก็ไม่มีความผิดอะไร รั้วก็ยังเป็นรั้ว ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนแต่อย่างใด แม้บางทีอาจเผลอไปยืนพิงรั้วแล้วรั้วเกิดพัง หรือบางทีเผลอไปยืนบนรั้วก็ไม่ผิดอะไร เพราะขาดเจตนาพิเศษ ที่จะทำลายรั้ว หรือละเมิดกฎหมายนี้ ที่สำคัญปัจจุบัน รั้วหรือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ก็เป็นรั้วโปร่งๆ ทุกคนมองเห็นสถาบันกษัตริย์ได้ง่าย สัมผัสได้ ใกล้ชิดได้ การพูดและกล่าวถึงโดยสุจริต ก็ไม่ได้มีความผิดอะไร
เพราะฉะนั้น คนที่คิดแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น จึงเห็นเป็นอย่างอื่นไม่ได้ คือมีเจตนาจะทำลายรั้ว หรือเจตนาไม่ดีต่อสถาบันกษัตริย์ ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เนื่องจากสถาบันกษัตริย์ เป็นสถาบันหลักของบ้านเมืองและผูกไว้ในหลักการรัฐธรรมนูญ ที่เป็นกฎหมายสูงสุด
ดังนั้น การที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมและพ่วงเอาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112ไปด้วย จึงต้องคิดให้รอบคอบ เพราะเท่ากับไม่เปิดโอกาสให้คนที่ถูกกล่าวหา ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเขาไม่ได้มีเจตนากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งเขามีสิทธิต่อสู้คดีได้ตามกระบวนการยุติธรรม การจะที่นำเอาคนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามมาตรา 112 เข้าไปรวมในการนิรโทษกรรมด้วย จึงเป็นการนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งจึงไม่น่าจะถูกต้อง เพราะไม่ได้แยกแยะ และอาจเป็นต้นเหตุทำให้เกิดแตกแยกตามมาได้ และจะนำมาซึ่งความขัดแย้งรอบใหม่ และอาจทำให้รัฐบาลไปเร็วกว่าที่คิด แทนที่รัฐบาลจะได้แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจและปัญหาอื่นๆ ของบ้านเมือง ที่รออยู่อีกอย่างมากมาย
สรุป : ในความเห็นของผมนั้น
1.พรรคเพื่อไทยคงเอาด้วยกับการนิรโทษกรรม คดี 112 ด้วย หาก “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องจนมุมกับคดี ม.112
2.พรรคก้าวไกล เอาด้วยแน่ๆ เพราะเป็นผู้เสนอประเด็นนี้
3.เมื่อเอาเสียงของก้าวไกล รวมกับเพื่อไทย กฎหมายนี้ผ่านสภาผู้แทนราษฎรแน่ๆ
4.คำถามคือ แล้วจะผ่าน สว. หรือไม่ สว. ชุดปัจจุบันซึ่งกำลังจะหมดอายุมี 3 ประเภท คือ คัดค้านล้านเปอร์เซ็นต์, เห็นด้วย และพวกต่อรองเอาตังค์ อยากได้ตังค์ หรือพวกขายเสียงโหวตนั่นแหละ
5.ภาคประชาชนคงแบ่งเป็นฝ่ายหนุนและฝ่ายต้าน หากทั้งสองฝ่ายออกมาเคลื่อนไหว จนเกิดการเผชิญหน้า
นั่นแหละ โปรดทราบว่า ประตูสู่ “รัฐประหาร” ค่อยๆ แง้มขึ้นแล้ว!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี