กบฏ ราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายของคำนี้ว่า“ประทุษร้ายต่อทางอาณาจักร” ซึ่งมีการขยายความว่า การกระทำความผิดอาญาต่อความมั่นคงของรัฐ โดยการใช้กำลังหรือขู่เข็ญ เพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ หรืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการ หรือแบ่งแยกราชอาณาจักร
ประวัติศาสตร์ชาติไทยได้กล่าวไว้ว่า ในสมัยอาณาจักรอยุธยาได้มีการก่อกบฏขึ้นประมาณ ๑๐ ครั้ง เป็นการก่อกบฏเพื่อแย่งชิงอำนาจที่กระทำการโดยหลายฝ่าย อาทิ จากบุคคลในราชวงศ์กันเอง จากเหล่าข้าราชบริพาร จากพ่อค้าวาณิชต่างชาติที่มาค้าขายอยู่ในประเทศไทย ทหารต่างชาติ รวมทั้งจากราษฎรบางกลุ่มบางเหล่า แต่ครั้งที่สำคัญมากและมีการกล่าวถึงกันอยู่เสมอคือกบฏขุนวรวงศาธิราช เมื่อปีพุทธศักราช ๒๐๙๑
ก่อนเกิดกบฏครั้งนั้น พระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์อยู่ก่อนคือสมเด็จพระไชยราชาธิราช ผู้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีพระปรีชาสามารถทั้งในด้านการรบ การต่างประเทศพระองค์หนึ่ง เกียรติประวัติของพระองค์ที่สำคัญคือการยกทัพไปตีเมืองเชียงกรานซึ่งเป็นของอาณาจักรอยุธยากลับคืนจากพม่า เนื่องจากในช่วงเวลานั้นพระเจ้าตะเบงชเวตี้แห่งอาณาจักรหงสาวดี ได้เริ่มยกทัพเพื่อรุกรานแว่นแคว้นต่างๆ ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง โดยหวังจะรวบรวมให้อาณาจักรหงสาวดีเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ มีการรวบรวมชาวมอญ ชาวไทใหญ่ ชาวอังวะและชาวเชียงตุงเข้ามาอยู่ในอาณาจักรหงสาวดี และลุกลามมายังเมืองชายขอบของอาณาจักรอยุธยาคือเชียงกรานด้วย
ศึกเชียงกรานนั้นกล่าวได้ว่าเป็นศึกสงครามครั้งแรกระหว่างอาณาจักรหงสาวดี และอาณาจักรอยุธยา ซึ่งไม่เคยได้มีศึกสงครามต่อกันมาก่อนหน้านั้นเลย การยกทัพไปรบเพื่อตีเอาเมืองเชียงกรานคืนนั้น สมเด็จพระไชยราชาธิราชได้นำทหารโปรตุเกสซึ่งมีความสามารถใช้ปืนไฟในการรบไปร่วมศึกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการศึกสงครามที่มีการใช้ปืนไฟหรือปืนยาวเป็นครั้งแรกเช่นกัน ทำให้การศึกครั้งนั้นกองทัพไทยสามารถเอาชนะต่อทัพพม่าที่รักษาเมืองเชียงกรานได้ ทำให้เมืองเชียงกรานกลับคืนมาเป็นของอาณาจักรอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้พระองค์ยังเคยยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ ในสมัยที่พระนางจิรประภาเทวีเป็นผู้ครองเมือง และในที่สุดก็ทำให้พระนางยอมอ่อนน้อม ให้เมืองเชียงใหม่อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรอยุธยา
สมเด็จพระไชยราชาธิราชครองราชย์อยู่ ๑๔ ปีและเสด็จสวรรคตในปีพุทธศักราช ๒๐๘๙ หลังจากนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ที่นำไปสู่การแย่งชิงราชสมบัติ ซึ่งเทียบได้กับการเกิดกบฏนั่นเอง เพราะถึงแม้ว่าพระองค์จะมีพระราชโอรส แต่ก็ไม่ได้เกิดจากพระมเหสี แต่เกิดจากพระสนมเอกที่มีตำแหน่งที่เรียกว่าท้าวศรีสุดาจันทร์ ซึ่งในที่สุดเป็นผู้ที่ทำให้เกิดปัญหาต่ออาณาจักรอยุธยา
หลังจากที่พระองค์เสด็จสวรรคต ฝ่ายสมณะปรมาอาจารย์ มุขมนตรี นักปราชญ์ราชครู ได้ประชุมกันและเห็นควรเชิญพระยอดฟ้าพระราชโอรสพระองค์แรกซึ่งขณะนั้นมีพระชันษา ๑๑ ปีให้ขึ้นครองราชย์ต่อไป ซึ่งทำให้พระเทียรราชา พระอนุชาต่างพระมารดา ผู้ที่มีสิทธิ์อย่างมากในการเสด็จขึ้นครองราชย์มองเห็นเหตุการณ์ข้างหน้าว่าจะมีแต่ความยุ่งยากและภัยพิบัติที่อาจจะมาถึง จึงสละเพศฆราวาสและออกผนวชเป็นพระภิกษุที่วัดราชประดิษฐาน เพื่อบำเพ็ญภาวนาและอยู่อย่างสันติ
จากการที่พระยอดฟ้ายังอ่อนพระชันษาไม่สามารถจะบริหารปกครองบ้านเมืองได้ ท้าวศรีสุดาจันทร์ สมเด็จพระราชชนนีจึงต้องทำนุบำรุงปกครองราชการแผ่นดินแทน ทำให้ต่อมาได้เกิดเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นรอยด่างทางประวัติศาสตร์ กล่าวคือ ท้าวศรีสุดาจันทร์ได้มีโอกาสพบพันบุตรศรีเทพ ผู้มีหน้าที่ดูแลหอพระข้างหน้า แล้วเกิดความเสน่หา จึงได้ส่งเสริมให้พันบุตรศรีเทพเข้ามารับราชการใกล้ชิดในตำแหน่งขุนชินราช รักษา ดูแลหอพระข้างใน จนมีการลอบลักสมัครสังวาส ด้วยขุนชินราช จนในที่สุดถึงกับดำริที่จะให้ขุนชินราชรับราชสมบัติ โดยสั่งให้พระยาราชภักดียกขุนชินราชขึ้นเป็นขุนวรวงศาธิราช และยังให้นั่งบนพระราชอาสน์ได้ เพื่อให้ขุนนางทั้งปวงอ่อนน้อมยำเกรง รวมทั้งสั่งให้ปลูกจวนให้ขุนวรวงศาธิราชว่าราชการด้วย
ต่อมาท้าวศรีสุดาจันทร์มีครรภ์ด้วยขุนวรวงศาธิราช จึงปรึกษาหมู่มุขมนตรีว่า พระยอดฟ้ายังเป็นเด็ก ไม่อาจบริหารกิจการบ้านเมืองได้ สมควรให้ขุนวรวงศาธิราชว่าราชการแผ่นดินจนกว่าพระราชบุตรจะจำเริญวัยขึ้น จะเห็นเป็นประการใดซึ่งหมู่มุขมนตรีไม่อาจจะขัดพระทัย จึงทูลว่าซึ่งตรัสโปรดมานั้นควรอยู่แล้ว จึงได้มีการจัดพิธีให้ขุนวรวงศาธิราชขึ้นเป็นเจ้าปกครองกรุงศรีอยุธยา
การกระทำดังกล่าวของท้าวศรีสุดาจันทร์ ก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจกับเชื้อพระวงศ์บางส่วนเช่น ขุนพิเรนทรเทพ รวมทั้งขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสนา หลวงศรียศ ด้วยเห็นว่าแผ่นดินเป็นทุรยศ ไม่อาจจะละไว้ได้ จึงได้ร่วมกันวางแผน กำจัดขุนวรวงศาธิราชและท้าวศรีสุดาจันทร์ โดยได้มีการไปปรึกษากับพระเทียรราชาว่าเมื่อทำการนี้สำเร็จจะทูลเชิญพระเทียรราชาเสด็จขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ครองราชย์กรุงศรีอยุธยาแทน โดยมีการทำพิธีเสี่ยงเทียนที่วัดป่าแก้ว ซึ่งปัจจุบันคือวัดใหญ่ชัยมงคล อันเป็นวัดที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยก่อตั้งอาณาจักรอยุธยา โดยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ พระเจ้าอู่ทอง ซึ่งผลการเสี่ยงเทียนปรากฏว่าจะกระทำการสำเร็จ จึงมีการวางแผนสำเร็จโทษขุนวรวงศาธิราชและท้าวศรีสุดาจันทร์ ซึ่งแผนการดังกล่าวก็สำเร็จลุล่วงด้วยดี
พระเทียรราชาได้รับการทูลเชิญให้ลาสิกขาจากการเป็นพระภิกษุ และกลับขึ้นมาครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ของอาณาจักรอยุธยา ซึ่งกษัตริย์พระองค์นี้ คือสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ที่นับว่าเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อีกพระองค์หนึ่งของอาณาจักรอยุธยา ส่วนพระมเหสีของพระองค์คือสมเด็จพระศรีสุริโยทัย ที่เป็นวีรกษัตรีของชาติไทย ที่ได้สละชีวิตเพื่อปกป้องพระสวามีและแผ่นดิน
จากเหตุการณ์กบฏเกือบทั้งหมด จะพบว่าผู้ก่อการกบฏทั้งหลายในท้ายที่สุดไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ หรือหากมีชีวิตอยู่ก็ตกระกำลำบากโดยตลอด อันอาจจะเนื่องมาจากความศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินนี้ ว่าผู้ที่จะครองแผ่นดินได้นั้นนอกจากจะต้องเป็นผู้ที่มีบุญญาบารมีแล้ว ยังจะต้องมาโดยความชอบธรรมและได้รับการยอมรับจากประชาราษฎร์ด้วย
เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองของชาติไทยในปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ ต้องถือว่าเป็นเหตุการณ์กบฏเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นการกระทำเพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย ที่อ้างกันว่าเป็นระบอบของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน แต่ก็จะเห็นว่าหลังจากนั้นมา ชาติของเราก็ไม่ได้อยู่กันอย่างเป็นสุขมากนักจากการที่ประเทศชาติต้องถูกบริหารโดยนักการเมือง แม้ว่าในรัฐธรรมนูญการปกครองจะเขียนไว้ว่า ประเทศไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ก็จะจับกลุ่มกันเป็นพรรคเป็นฝ่าย หากรวมเป็นเสียงข้างมากได้ก็จะได้เป็นรัฐบาล มีสิทธิ์ในการบริหารประเทศอย่างเต็มที่
อดีตที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าในที่สุดนักการเมืองส่วนใหญ่ก็เข้ามาบริหารประเทศเพื่อการแสวงหาอำนาจ หาผลประโยชน์ให้แก่พรรคหรือส่วนตนด้วย และที่สำคัญยิ่งคือการคอร์รัปชั่น ซึ่งหมายถึงการทุจริตโกงกินซึ่งเกิดขึ้นเกือบจะทุกยุคทุกสมัยไม่มากก็น้อย อันเป็นที่มาของการปฏิวัติรัฐประหารและการแก้ไขหรือเขียนรัฐธรรมนูญใหม่อยู่ตลอดเวลา รวมทั้งการขอแก้กฎหมายที่นักการเมืองอาจจะเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตนหรือพวกตน รวมทั้งบางส่วนยังมีแนวคิดในการที่จะลดพระราชอำนาจ จนถึงแม้แต่การลบล้างสถาบัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในประเทศไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ปกครองมาอย่างยาวนานเป็นเวลาร่วม ๘๐๐ ปี
ขณะนี้ กำลังมีความพยายามอย่างยิ่งในการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รวมทั้งการแก้หรือยกเลิกกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยจะให้มีการนิรโทษกรรมนักการเมืองหรือประชาชนที่เคยกระทำผิดด้านการเมือง ซึ่งรวมไปถึงผู้กระทำผิดกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่จงใจหรือตั้งใจจะกระทำอีกด้วย เพราะนั่นคือแนวความคิดของการก่อกบฏ
อย่าให้การออกกฎหมายนิรโทษกรรม โดยเฉพาะในส่วนของผู้ที่กระทำผิด มาตรา ๑๑๒ ดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นใคร รวมทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีบางคน เกิดขึ้นสำเร็จเป็นอันขาด เพราะสิ่งนั้นอาจจะเป็นชนวนสำคัญ และทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งยังจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ยอมรับไม่ได้ จนกลายเป็นเหตุการณ์วุ่นวายของบ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี