คนอย่างนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ไม่เคยส่องกระจกหรือชะโงกดูเงากะโหลกของตนเองในกะลาเลยแม้แต่น้อย..เป็นคนที่ไม่เคยสำนึกในความเลวที่ตนได้กระทำไว้..และมีนิสัยถาวรที่ชอบโยนความผิดให้แก่ผู้อื่น
นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นนักโทษคดีทุจริตโกงชาติโกงแผ่นดิน..ไม่กล้าไปพบพนักอัยการเจ้าของคดีในวันนัดเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมปลายเดือนที่ผ่านมา..จึงอ้างว่า“ป่วยติดโควิด”..เพราะคงจะรู้ข่าวเป็นการล่วงหน้า ว่านายอำนาจเจตน์ เจริญรักษ์ อัยการสูงสุด จะมีความเห็นสั่งฟ้องคดีความผิดมาตรา 112 ของตน..และกลัวติดคุกหากศาลไม่ให้ประกันตัว เลยต้องแกล้ง“ป่วยการเมือง”
ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคมจนกระทั่งถึงเมื่อวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา..“ทักษิณ ชินวัตร”กบดานเงียบในบ้านจันทร์ส่องหล้าเสมือนงูเงี้ยวเขี้ยวขอที่อาศัย“รู”เป็นที่หลบภัย..โดยเงียบหายไปจากข้ออ้างว่าต้องพักรักษาตัวเนื่องจากติดโควิด..นับรวมแล้วก็ 14 วัน หลังจากไปปรากฏตัวครั้งสุดท้ายที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2567 ในงานฌาปนกิจศพนายวิชัย ช่างเหล็ก หรือ“ลุงป็อก” อดีตคนขับรถคู่ใจที่ทักษิณแอบ“ซุกหุ้น”ไว้ในชื่อของบุคคลผู้นี้จนถูกจับได้กลายเป็น“คดีซุกหุ้น”กระฉ่อนเมือง
และเมื่อ“ทักษิณ ชินวัตร”โผล่หัวออกมาเมื่อวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน..ก็ตกเป็นข่าวอย่างครึกโครม เนื้อหาจากคำสัมภาษณ์ของทักษิณ..กลายเป็นข่าวใหญ่พาดหัวตัวไม้ของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ รวมทั้งสื่อโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์..โดยสื่อหยิบประเด็นที่ทักษิณแก้ต่างให้กับตนเองว่า—คดี 112 นั้นเป็น “ผลไม้พิษ”ของคณะรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเงียบหายไปด้วยข้ออ้างว่าป่วยติดโควิด..ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่า“ป่วยการเมือง”เพราะกลัวติดคุกหากถูกพนักงานอัยการนำตัวไปฟ้องศาล..ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อในงานฉลองบวชนายสมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ ลูกชายนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ (นายกเบี้ยว) นายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี ที่จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันเสาร์ดังกล่าว..โดยผู้สื่อข่าวได้ถามถึงวันที่ 18 มิถุนายน ตามที่พนักงานอัยการนัด นำตัวส่งฟ้องในคดีความผิดมาตรา 112 นั้น..จะเดินทางไปด้วยตนเองหรือไม่-ทักษิณตอบว่า
“ก็แน่นอนสิ ส่วนจะต่อสู้คดีอย่างไรนั้น..ไม่เห็นมีอะไรเลยคดีนี้ และคดีนี้จะเป็นตัวอย่างให้คนเห็นว่า ตอนปฏิวัติยัดข้อหาอย่างไร คดีนี้เป็นคดีที่ไม่มีมูลเลยแม้แต่นิดเดียว..แต่พยายามที่จะนำไปตีความเพื่อให้มันมีมูล และเมื่อคนหนึ่งสั่งฟ้อง คนอื่นก็ไม่กล้าที่จะสั่งไม่ฟ้อง..เลยสั่งฟ้องซึ่งไม่ใช่หลักกฎหมาย..จริงๆ แล้วไม่มีอะไร”
ถ้าถอดคำพูดของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ก็หมายความว่า..คดีมาตรา 112 ซึ่งเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2558 พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผบ.ทบ.ในขณะนั้น..ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่กรมพระธรรมนูญ ไปแจ้งความดำเนินคดีกับทักษิณกรณีที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ และพูดพาดพิงสถาบัน..เป็นคดีที่นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณถูก พล.อ.อุดมเดช ในฐานะ รัฐมนตรีช่วยฯกลาโหม ผบ.ทบ.และเลขาธิการ คสช. ใส่ร้ายป้ายสีและยัดเยียดข้อหาให้
นอกจากนั้น ถ้าหากพิจารณาตามคำสัมภาษณ์ของ“ทักษิณ ชินวัตร”ดังกล่าว..ก็หมายความได้อีกเช่นกันว่า ที่นายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ อัยการสูงสุดคนปัจจุบันมีความเห็นสั่งฟ้อง เนื่องเพราะ ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อดีตอัยการสูงสุด เคยมีความเห็นสั่งฟ้อง“ทักษิณ ชินวัตร”ในคดีนี้มาแล้วเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2559..จึงทำให้“คนหนึ่งสั่งฟ้อง..คนอื่นก็ไม่กล้าที่จะสั่งไม่ฟ้อง”ตามที่ทักษิณระบุ
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่..ถ้าเชื่อว่าถูก“ยัดข้อหา” และอัยการสูงสุดสั่งฟ้องก็เพราะไม่กล้าขัดกับคำสั่งเดิมที่เคยสั่งฟ้อง..นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร จะต้องแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดกับ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รวมไปถึง คสช. และกรมพระธรรมนูญ..หรือแม้แต่อดีตอัยการสูงสุด และอัยการสูงสุดคนปัจจุบัน
ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญานั้น การแจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาถึง 3 มาตราด้วยกัน..คือ มาตรา 172, มาตรา 173 และมาตรา 174
ถามว่าถ้าหาก “ทักษิณ ชินวัตร” เชื่อว่าถูก“ยัด”ข้อหาความผิดมาตรา 112..รวมทั้งมีการสั่งฟ้องตามกัน ทำไมจึงไม่ฟ้อง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รวมไปถึง คสช. และกรมพระธรรมนูญ หรือแม้แต่อดีตอัยการสูงสุด และอัยการสูงสุดคนปัจจุบันตามประมวลกฎหมายอาญาดังที่กล่าวนั้น
ตอบแทนไว้ตรงนี้ก็ได้ว่า...คนอย่าง“ทักษิณ ชินวัตร”นั้น เป็นประเภท“ปากพาฉิบหาย”..พูดอะไรเรื่อยเปื่อย ชอบพูดพล่อยๆ..มีนิสัยหรือสันดานชอบกล่าวหาและใส่ร้ายผู้อื่น..เป็นคนที่ไม่เคยยอมรับความจริง..เป็นคนโกงชาติโกงแผ่นดินจนต้องกลายเป็นนักโทษในทุกวันนี้ แต่ก็ยังพยายามจะโกหกหลอกลวงให้ข้าทาสบริวารที่ยอมสยบอยู่ใต้เท้า เชื่อและพูดต่อๆ กันไปอีกว่า“นาย”ถูกกลั่นแกล้ง
“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นคนที่ปากบอกว่ารวยแล้วไม่โกง แต่ก็ได้ชื่อถึงกับมีคนพูดว่า“โกงโคตร-โคตรโกง”..เป็นคนบอกว่ายอมรับผิดจะกลับมาเลี้ยงหลานในบั้นปลายชีวิต แต่กลับเป็นว่ามาฟื้นคืนอำนาจเพื่อให้ได้มาดังเดิม ฯลฯ
ในวาระเดียวกันนี้ท่ามกลางมวลชนคนเสื้อแดงจังหวัดปทุมธานี, “ทักษิณ ชินวัตร” ยังให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า..“ผมว่าบ้านเมืองถึงเวลาสงบได้แล้ว อีกอย่างสื่อมวลชน เรื่องการเมืองก็ควรพยายามเบาๆ ลง..บ้านเมืองจะได้เดินหน้า เพราะทุกวันนี้ปัญหาบ้านเมืองยากกว่าตอนที่ผมเป็นนายกฯ..มันเละมานานแล้ว แม้ระบบราชการจะเปลี่ยนไปเยอะ..อยากให้ช่วยกันทุกฝ่ายยึดกติกาการเมืองอย่างสร้างสรรค์..เพราะทุกวันนี้ทุกคนพยายามคิดว่าถึงเวลาใครก็เป็นได้..มันต้องมีกติกา”
ความคิดเห็นดังกล่าวของ“ทักษิณ ชินวัตร”นั้น ล้วนเข้าตัวตนเองทั้งสิ้น...บ้านเมืองเละก็เพราะ“ทักษิณ ชินวัตร”กอบโกยโกงกิน ตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยจนมาถึงรัฐบาลหุ่นเชิด“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ผู้เป็นน้องสาว..และก็กำลังวนกลับมาที่รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ในปัจจุบันนี้ ซึ่งถ้าหากโครงการ“ดิจิทัล วอลเล็ต”สำเร็จเสร็จสิ้นวันใด..เชื่อว่าวันนั้นการทุจริตโกงกินอย่างมโหฬารก็จะเกิดตามมา
สำคัญที่สุด คนที่จะต้อง“ยึดกติกาการเมืองอย่างสร้างสรรค์” ก็คือ“ทักษิณ ชินวัตร”—ไม่ใช่ใครที่ไหนอื่น ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี