จากการตรวจสอบ พบว่า กรุงเทพมหานคร ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างโครงการเกี่ยวกับการเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย จัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย ในปี 2566-2567 อย่างน้อย 7 โครงการ
หน่วยงานดูแลรับผิดชอบ คือ สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว สังกัดกรุงเทพมหานคร
ตามที่เป็นข่าวว่า เครื่องออกกำลังกายหลายรายการ อาจเข้าข่ายจัดซื้อมาในราคาแพงเกินจริง
บางรายการ ราคาแพงกว่ารถป้ายแดงเสียอีก อาทิ
เครื่องวิ่งไฟฟ้า จัดซื้อเครื่องละกว่า 759,000 บาท ทั้งๆ ที่ มีของมาตรฐานคุณภาพใกล้เคียงกันในท้องตลาด ตั้งแต่ราคาแสนต้นๆ จนถึง 3 แสนกว่าบาท
เครื่องก้าวเดินในอากาศ จัดซื้อเครื่องละ 656,000 บาท
จักรยานแบบนั่งปั่น จัดซื้อเครื่องละ 451,000 บาท
จักรยานแบบเอนปั่น จัดซื้อเครื่องละ 483,000 บาท เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ พบว่าในท้องตลาดมีสินค้าแบบมาตรฐานคล้ายกัน แต่ในราคาถูกกว่าที่ กทม.จัดซื้ออย่างน้อยครึ่งต่อครึ่ง
เรียกว่า แพงขยี้ใจเหลือเกิน
1. พบการจัดซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกาย ที่อาจแพงเกินจริง 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 70 ล้านบาท
(1)โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกายสำหรับศูนย์นันทนาการ สังกัดส่วนนันทนาการ จำนวน 13 รายการ วงเงินงบประมาณ 17,914,000 บาท
ผู้ชนะการประมูล บริษัท ว. ซึ่งเสนอราคา 17,900,000 บาท
ต่ำกว่าราคากลางแค่ 14,000 บาท
วันที่ลงนามสัญญา 25 มีนาคม 2567
โครงการนี้จัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย 13 รายการ อาทิ เครื่องวิ่งไฟฟ้า 6 เครื่อง เครื่องละ 759,000 บาท, เครื่องก้าวเดินในอากาศชนิดแท่นวางเท้าปรับอัตโนมัติ 2 เครื่องเครื่องละ 656,000 บาท, จักรยานแบบเอนปั่น 3 เครื่อง เครื่องละ 426,000 บาท, เครื่องฝึกกล้ามเนื้อแบบอเนกประสงค์ 4 เครื่อง เครื่องละ 690,000 บาท, เครื่องฝึกกล้ามเนื้อแบบอเนกประสงค์ 2 เครื่อง เครื่องละ 702,000 บาท ฯลฯ
(2)โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย 21 รายการ ของศูนย์กีฬาอ่อนนุช วงเงินงบประมาณ 15,696,600 บาท
ผู้ชนะการประมูล บริษัท ก. ซึ่งเสนอราคา 15,366,200 บาท
วันที่ลงนามสัญญา 1 มีนาคม 2567
โครงการนี้จัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย 21 รายการ อาทิ เครื่องวิ่งไฟฟ้า 6 เครื่อง เครื่องละ 759,000 บาท, เครื่องก้าวเดินในอากาศ ชนิดแท่นวางเท้าปรับอัตโนมัติ 4 เครื่อง เครื่องละ 656,000 บาท, จักรยานแบบนั่งปั่น 4 เครื่อง เครื่องละ 451,000 บาท, จักรยานแบบเอนปั่น 4 เครื่อง เครื่องละ 483,000 บาท, เครื่องฝึกกล้ามเนื้อหน้าอกและหัวไหล่ด้านหลัง 1 เครื่อง 357,000 บาท, เครื่องฝึกกล้ามเนื้อแบบอเนกประสงค์ 1 เครื่อง 652,000 บาท
(3)โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย 21 รายการ ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา วงเงิน งบประมาณ 12,112,600 บาท
ผู้ชนะการประมูล บริษัท ก. ซึ่งเสนอราคา 11,820,000 บาท
โครงการนี้จัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย 21 รายการ รายการและราคาจัดซื้อ ก็คล้ายๆ กันกับโครงการอื่น
(4) โครงการซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย จำนวน 16 รายการ สำหรับศูนย์นันทนาการวัดดอกไม้ วงเงินงบประมาณ 11,520,500 บาท
ผู้ชนะการประมูล บริษัท ว. ซึ่งเสนอราคา 11,515,000 บาท
ต่ำกว่าราคากลาง แค่ 5,500 บาท
วันที่ลงนามสัญญา 15 มกราคม 2567
โครงการนี้จัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย 16 รายการ รายการและราคาจัดซื้อ ก็คล้ายๆ กันกับโครงการอื่น
(5) โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย 10 รายการ ศูนย์กีฬามิตรไมตรี วงเงินงบประมาณ 11,013,000 บาท
ผู้ชนะการประมูล บริษัท ก. ซึ่งเสนอราคา 10,667,000 บาท
วันที่ลงนามสัญญา 1 มีนาคม 2567
โครงการนี้จัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย 10 รายการ รายการและราคาจัดซื้อ ก็คล้ายๆ กันกับโครงการอื่น
(6)โครงการซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย 11 รายการ ศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศ วงเงินงบประมาณ 4,999,500 บาท
ผู้ชนะการประมูล บริษัท ว. ซึ่งเสนอราคา 4,998,800 บาท
ต่ำกว่าราคากลาง แค่ 700 บาท
วันที่ลงนามสัญญา 13 ธันวาคม 2566
โครงการนี้จัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย 11 รายการ รายการและราคาจัดซื้อ ก็คล้ายๆ กันกับโครงการอื่น
(7) โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย 11 รายการ ศูนย์วารีภิรมย์ วงเงินงบประมาณ 4,999,990 บาท
ผู้ชนะราคาประมูล บริษัท ว. ซึ่งเสนอราคา 4,998,800 บาท
ต่ำกว่าราคากลาง แค่ 1,190 บาท
วันที่ลงนามในสัญญา 13 ธันวาคม 2566 รายการและราคาจัดซื้อ ก็คล้ายๆ กันกับโครงการอื่น
2. บริษัทที่ได้งานใน 7 โครงการนี้ มูลค่ารวมกว่า 70 ล้านบาท คือ บริษัท ก. และ ว. สลับหน้ากันไปเท่านั้น
3. การจัดซื้อทั้ง 7 โครงการ ซื้อต่ำกว่าราคากลางก็จริง แต่ปัญหา คือ ราคากลางที่กำหนดนั้น สูงเกินจริงหรือไม่
กระบวนการกำหนดราคากลาง การสืบราคา ได้ทำถูกต้อง ครบถ้วน รอบคอบ ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง หรือไม่?
การสืบราคาที่ทำในช่วงปลายปี 2566 ไปทำอีท่าไหนทำอย่างไร?
มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ กทม.ทำการสืบราคาจาก 3 บริษัท
โดย 2 ใน 3 บริษัท ที่เจ้าหน้าที่ กทม.สืบราคา ก็คือ บริษัท ก. และ ว. นั่นเอง
4. น่าสังเกตว่า เหตุใดจึงเลือกสืบราคาเฉพาะจาก 3 บริษัทนี้เท่านั้น?
ทั้งๆ ที่ อุปกรณ์ออกกำลังกายที่จัดซื้อนั้น เป็นสินค้าที่มีอยู่ทั่วไป หลากหลาย มีหลายยี่ห้อให้เลือกซื้อ และยังมีบริษัทที่สามารถจัดหาสินค้าเหล่านี้มาขายได้หลายสิบบริษัท
โดยที่บริษัท ก. และ ว. ต่างก็มิใช่ผู้ผลิตสินค้าแต่อย่างใด
5. มีการกำหนดเงื่อนไข รายละเอียด การจัดซื้อจัดจ้างอย่างไร เปิดกว้างแค่ไหน?
ทำไมสุดท้าย ผู้ได้งานมีแค่ 2 บริษัท สลับหน้ากันเท่านั้น
บางโครงการมูลค่าเกือบ 5 ล้าน เสนอราคาต่ำกว่าราคากลางที่แพงอยู่แล้วแค่ 700 บาท
บางโครงการมูลค่าเกือบ 12 ล้าน เสนอราคาต่ำกว่าราคากลางที่แพงอยู่แล้วแค่ 5,500 บาท
6. รู้ทันกลโกงการสืบราคา-กำหนดราคากลาง การจัดซื้อภาครัฐ
ลองคิดง่ายๆ ถ้าเอาการจัดซื้อแบบนี้ ไปทำงานบริษัทฟิตเนสเอกชน เชื่อว่า ฟิตเนสรายนั้นจะไม่ล้มละลายไปแล้วหรือ
สำหรับกรณีทุจริตโดยทั่วๆ ไป จากประสบการณ์ในฐานะสื่อมวลชนที่ได้ติดตามตรวจสอบการทุจริตภาครัฐมาบ้าง เห็นว่า
ขั้นตอนตั้งแต่การตั้งสเปกของที่จะจัดซื้อ มาจนถึงการสืบราคา การกำหนดราคากลาง มีส่วนสำคัญทำให้การทุจริตโกงกินสำเร็จไปแล้วเกินครึ่ง
การสืบราคา การคำนวณราคากลาง การกำหนดราคากลาง จะต้องใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด
ถ้าต่ำไป ก็จะไม่มีใครสนใจ
แต่ถ้าแพงไป ก็จะเป็นการ “ชงหวานเจี๊ยบ” ให้เอกชน
แล้วยิ่งถ้ามีการกำหนดเงื่อนไขที่เข้าทางรายหนึ่งรายใดเป็นพิเศษ ก็จะ “คล่องคอ” เลยทีนี้
จึงมีกฎระเบียบ แนวทางปฏิบัติตามกฎหมาย ควบคุมอยู่ และถือเป็นองค์ประกอบในการวินิจฉัยการกระทำของบุคคลใดๆ เข้าข่ายการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐหรือไม่? (พ.ร.บ.ฮั้ว)
โดยที่ผ่านมา ก็มีเจ้าหน้าที่รัฐ ติดคุกกันอยู่เนืองๆ เพราะการทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง
การกำหนดคุณลักษณะและราคากลาง เจ้าหน้าที่จึงต้องสืบหาข้อมูลและราคาอย่างเพียงพอ เพื่อนำมาเปรียบเทียบ หาราคาที่เหมาะสม
อาทิ การสืบหาข้อมูลและราคาท้องตลาดจากผู้ประกอบกิจการที่นำเข้าหรือจำหน่ายครุภัณฑ์นั้นโดยตรง มิใช่สืบหาข้อมูลและราคาจากหน่วยงานของรัฐแห่งอื่นที่เคยจัดซื้อ หรือสืบราคาเฉพาะจากบริษัทที่เคยขาย โดยไม่ได้สืบหาข้อมูลอย่างเพียงพอ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐ เป็นเหตุให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดซื้อในราคาสูงกว่าความเป็นจริง
กรณีเช่นนี้ เจ้าหน้าที่ผู้นั้น นอกจากจะต้องรับผิดทั้งวินัยและอาญาแล้ว ยังจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการกระทำละเมิด ตามส่วนแห่งความรับผิดของตนการกำหนดราคากลางด้วย
พ.ร.บ.ฮั้ว มาตรา 4 ผู้ใดตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม หรือโดยการกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อหน่วยงานของรัฐ หรือโดยการเอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐอันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจปกติ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสามปี และปรับร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดในระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดนั้น หรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า
ผู้ใดเป็นธุระในการชักชวนให้ผู้อื่นร่วมตกลงกันในการกระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง ผู้นั้นต้องระวางโทษตามวรรคหนึ่ง
มาตรา 11 เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใด หรือผู้ได้รับมอบหมายจากหน่วยงานของรัฐผู้ใด โดยทุจริตทำการออกแบบ กำหนดราคา กำหนดเงื่อนไข หรือกำหนดผลประโยชน์ตอบแทน อันเป็นมาตรฐานในการเสนอราคาโดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม หรือเพื่อช่วยเหลือให้ผู้เสนอราคารายใดได้มีสิทธิเข้าทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐโดยไม่เป็นธรรม หรือเพื่อกีดกันผู้เสนอราคารายใดมิให้มีโอกาสเข้าแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิตฯ
7. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตรวจสอบโครงการการจัดซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายโคตรแพง
ระบุว่า โครงการที่นำอุปกรณ์มาบริการประชาชนแล้ว 4 โครงการ ได้แก่ โครงการจัดซื้อสำหรับศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศวงเงินงบประมาณ 4.99 ล้านบาท, โครงการจัดซื้อสำหรับศูนย์กีฬาวารีภิรมย์ 4.99 ล้านบาท, โครงการจัดซื้อสำหรับศูนย์นันทนาการ สังกัดส่วนนันทนาการ 17.9 ล้านบาท และโครงการจัดซื้อสำหรับศูนย์นันทนาการวัดดอกไม้ 11.52 ล้านบาท
ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างการตรวจรับและส่งมอบงานตามสัญญา อีก 3 โครงการนั้น ได้สั่งการให้ชะลอการส่งมอบทั้งหมดไว้ก่อน ได้แก่ โครงการจัดซื้อสำหรับศูนย์กีฬาอ่อนนุช 15.69 ล้านบาท โครงการสำหรับศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา 12.11 ล้านบาท และโครงการสำหรับศูนย์กีฬามิตรไมตรี 11.01 ล้านบาท เพื่อให้ ศปท.กทม. ตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อทั้งหมดของทุกโครงการที่จัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย
หากพบว่ามีมูลจะส่งสำนักงาน ป.ป.ช. ดำเนินการต่อไป พร้อมกันนี้ได้ประสานข้อมูลให้หน่วยงานกลาง ได้แก่ สตง. และสำนักงาน ป.ป.ท. ร่วมตรวจสอบด้วย
ล่าสุด นายณัฐพงศ์ ดิษยบุตร รองปลัดกรุงเทพมหานคร ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการติดตามการต่อต้านการทุจริตของกรุงเทพมหานคร (ศตท.กทม.) รายงานต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กรณีที่ ศตท.กทม. ร่วมกับสำนักงานป.ป.ช. ตรวจสอบการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายสำหรับศูนย์กีฬา จำนวน 5 โครงการ พบว่า มีประเด็นข้อบกพร่องและมีมูลที่ส่อการทุจริต ซึ่งอาจผิดกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (พ.ร.บ.ฮั้ว) จึงรวบรวมข้อมูลเสนอให้ปลัดกรุงเทพมหานครพิจารณาตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อดำเนินการทางวินัยและส่งดำเนินคดีอาญาต่อไป
ช่วยกันติดตามต่อไปว่า กทม.จะเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องอย่างจริงจังตั้งใจหรือไม่? 1.3 ล้านเสียง ก็โปรดอย่าเงียบ!
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี